พูดถึงเกมที่เป็นไฮไลต์ในงาน PlayStation Experience 2018 South East Asia นอกจากเกมที่เรากล่าวถึงไปก่อนหน้านี้แล้วนั้น ยังมีอีกหนึ่งเกมที่ไม่พูดถึงไม่ได้นั่นก็คือ Dragon Quest XI อีกหนึ่งซีรีส์สร้างชื่อให้กับค่าย Square Enix จากประเทศญี่ปุ่นนั่นเอง ในโอกาสที่ปีนี้เป็นปีที่ซีรีส์ Dragon Quest มีอายุครบ 30 ปี Square Enix เลยตั้งใจปั้นภาค 11 ออกมาให้แฟน ๆ ได้ชื่นใจกัน และประกอบกับเวอร์ชันภาษาอังกฤษจะวางจำหน่ายในวันที่ 4 กันยายนนี้ Square Enix จะตั้งความคาดหวังเอาไว้มากน้อยแค่ไหน? และเกมจะเอาใจผู้เล่นฝั่งตะวันตก และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้หรือไม่
วันนี้ทีมงาน GadGuan ได้รับโอกาสจาก Sony Interactive Entertainment ให้เข้าร่วมสัมภาษณ์กลุ่มกับ Hokuto Okamoto และ Takeshi Uchikawa โปรดิวเซอร์และผู้กำกับเกม Dragon Quest XI จากทาง Square Enix ที่จะมาคลายทุกข้อสงสัย และตอบคำถามถึงความในใจว่าตั้งความหวังไว้เป็นอย่างไร บทสัมภาษณ์เล็ก ๆ น้อย ๆ นี้ อาจจะช่วยให้มุมมองต่อเกมเปลี่ยนไปก็ได้ครับ

งานภาษาอังกฤษทำยาก ภาษาไทยก็ยากยิ่งกว่า

คำถามแรกคงเป็นคำถามที่คาใจผู้เล่นส่วนใหญ่กันมาค่อนข้างนานพอสมควร นั่นคือเวลาเกมค่าย Square Enix เปิดตัว ทำไมมักจะเปิดตัวเวอร์ชันภาษาญี่ปุ่นก่อนเวอร์ชันภาษาอังกฤษที่น่าจะทำตลาดทั่วโลกได้ดีกว่า กรณีเกม Dragon Quest XI ก็เช่นกัน ตัวเกมเวอร์ชันญี่ปุ่นเปิดตัวมาตั้งแต่วันที่ 29 กรกฎาคมที่ผ่านมา ในขณะที่เวอร์ชันภาษาอังกฤษจะวางจำหน่ายในวันที่ 4 กันยายนนี้ ดูเผิน ๆ อาจจะเป็นเรื่องปกติของค่ายนี้ไปเสียแล้ว แต่ในความเป็นจริงนั้นทางโอกะโมะโตะซังได้อธิบายให้เราทราบว่า การแปลตัวเกมเป็นภาษาอังกฤษแค่ข้อความไม่มีปัญหาอะไร แต่จะยากเรื่องการพากย์เสียงมากกว่า
ประเด็นสำคัญที่ยกตัวอย่างในเกม Dragon Quest ก็คือ ภายในเกมได้มีการใช้วัฒนธรรมและภูมิภาคของญี่ปุ่นเป็นพื้นฐานในการพัฒนา ซึ่งวัฒนธรรมที่เลือกใช้ก็คือสำเนียงของแต่จะพื้นเมืองที่จะมีลักษณะที่ไม่เหมือนกันในแต่ละท้องที่ เช่นเดียวกันกับ Dragon Quest XI ที่มีแผนที่ในเกมค่อนข้างใหญ่ เปิดกว้าง และแบ่งออกเป็นหลายพื้นที่ การพากย์อังกฤษก็ต้องดูความเหมาะสมของนักพากย์และซีนที่จะเข้ามาพากย์ด้วยเช่นกัน ประกอบกับในเกมนี้ยังมีการใช้บทกลอนภาษาญี่ปุ่น ทีมแปลก็ต้องถอดความหมายของกลอนนั้นออกมาให้กระชับ และไม่เสียรูปกลอนนั้นด้วยเช่นกัน นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมการทำเกมภาษาอังกฤษจากพื้นเดิมของเกมภาษาญี่ปุ่นจึงใช้เวลาค่อนข้างนาน
และเมื่อถามต่อถึงโอกาสในการทำภาษาไทยทางอุชิกะวะซังก็เสริมว่า ภาษาไทยนั้นยิ่งแล้วไปกันใหญ่ เพราะนอกจากการแปลตัวเกมจากภาษาญี่ปุ่นให้เป็นภาษาไทยแล้ว ยังต้องมีการแก้ไขตัวเกมในระดับโค้ดเพื่อให้รองรับลักษณะของภาษาไทยที่มีทั้งสระและวรรณยุกต์ และการแสดงผลจะต้องไม่ทำให้เสียหลักไวยากรณ์ตามหลักภาษาไทยด้วย ดังนั้นเราจึงได้เห็นเกมจำพวกเนื้อเรื่องที่ทำภาษาไทยกันจริง ๆ จัง ๆ นั้นน้อยมาก
แต่ก่อนจะถึงวันนั้น คงต้องผ่านด่านสำคัญนั่นก็คือ “ผู้เล่น” จะให้การตอบรับเกมดีขนาดไหน ถ้ากระแสตอบรับมีมากจนทาง Sony พอใจ ก็อาจจะได้เห็น Dragon Quest ภาษาไทยก็เป็นได้
นี่คือการรวมทุกจุดเด่นของ Dragon Quest ในภาคเดียว

ก่อนจะไปถึงความคาดหวังของ Square Enix ก็ต้องมีคำถามเรื่องความคาดหวังของผู้เล่น เพราะนับจากเกมภาค 10 ตัวเกมก็ใช้เวลาถึง 5 ปี กว่าจะออกมาให้ได้เล่นกัน ในมุมของผู้เล่นทุกคนก็คาดหวังว่า Dragon Quest XI ก็น่าจะตอบสนองความต้องการของแฟน ๆ Dragon Quest ได้ดีพอสมควร เป็นเฉกเช่นเดียวกับทาง Square Enix ที่ก็เห็นดีเห็นงามไม่ต่างจากเรา ๆ ท่านเหมือนกัน
ความคาดหวังหลักของ Square Enix โอกะโมะโตะซังได้กล่าวแบบรวม ๆ ว่า การพัฒนา Dragon Quest ทุกภาค ยังไงเรา (Square Enix) ต้องเดินตามความต้องการหลักของโฮริอิซัง (ยูจิ โฮริอิ) ที่เป็นผู้ให้กำเนิดเกมซีรีส์ Dragon Quest แต่เดิม สำหรับภาค 11 นี้ โฮริอิซังอยากจะนำพาผู้เล่นทุกคนออกจากโลกออนไลน์กลับสู่การเล่นเกมแบบพร้อมเพรียงกันที่หน้าจอทีวีของแต่ละคน จุดเริ่มต้นของ Dragon Quest XI จึงต้องเน้นตัวเกมให้สนุก เล่นได้ไม่มีเครียด และพร้อมให้ทุกคนได้ร่วมสนุกกับตัวเกมไปด้วยกัน
นอกจากนั้นแล้วใน Dragon Quest XI ยังได้รวมเอาจุดเด่นของ Dragon Quest ทุกภาครวมไว้ด้วยกัน ทั้งระบบการต่อสู้แบบ Turn-based ที่เป็นพิมพ์นิยมของเกม JRPG เดิม ตัวละครที่คุ้นเคย ระบบเกมที่คุ้นเคย บรรยากาศและเสียงเพลงที่คุ้นเคย ทั้งหมดนี้จะถูกนำมาไว้ใน Dragon Quest XI ครบทั้งหมด ไม่ใช่แค่เพื่อให้แฟน ๆ ของ Dragon Quest เดิมได้เล่นเกมในเวอร์ชันที่ดีกว่า แต่เพื่อให้ผู้เล่นใหม่ที่ไม่เคยได้สัมผัส Dragon Quest มาก่อนได้สัมผัสความเป็น Dragon Quest ที่แท้จริงเช่นกัน

แม้ว่าความท้าทายในการพัฒนาส่วนใหญ่จะเน้นเรื่องการนำเอาจุดเด่นทั้งหมดของ Dragon Quest กลับมาให้ได้มากที่สุด แต่ก็มีแรงกดดันมาจากฝั่งตะวันตกที่คาดหวังกับเกมนี้อยู่ไม่น้อยเช่นกัน ปัญหาสำคัญที่ทีมพัฒนาพบเจอในระหว่างการทำตัวเกม คือเรื่องของความยากของเกม เรื่องนี้ก็ถือเป็นไม้เบื่อไม้เมาอยู่นานพอสมควร เพราะเกมฝั่งญี่ปุ่น ถ้าไม่ง่ายไปเลยก็จะยากไปเล่นเช่นกัน ทั้งหมดนี้ก็เป็นอีกหนึ่งแรงปัจจัยที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในลักษณะนี้
สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือการเพิ่มตัวเลือกความยากของเกมที่ทำให้ผู้เล่นสามารถกำหนดความยากของเกมได้อย่างอิสระ ผู้เล่นฝั่งญี่ปุ่นสามารถเลือกความยากของเกมให้ง่าย ไม่มีเรื่องเครียด ๆ ภายในหัวได้ แต่กลับกันผู้เล่นที่ต้องการความท้าทายเป็นพิเศษ ก็สามารถเลือกความยากให้ตัวเกมยากขึ้นได้อีกเป็นเท่าตัวเช่นกัน
ความคาดหวังของ Square Enix กับประเทศในกลุ่มอาเซียน

มาถึงคำถามหมวดสุดท้าย นั่นก็คือ Square Enix คาดหวังกับผู้เล่นในกลุ่ม South East Asia มากน้อยแค่ไหน เรื่องนี้ก็ตอบได้ไม่ยาก นั่นคือ Square Enix และ Sony เองก็คาดหวังในตลาดนี้ได้ดีพอ ๆ กับในประเทศอื่น ๆ ที่วางจำหน่าย เพราะนอกจากเกมจะสร้างความตื่นเต้นให้กับแฟน ๆ Dragon Quest ทุนเดิมอยู่แล้ว เกมภาค 11 นี้ Square Enix ก็ตั้งใจทำเพื่อให้คนที่ไม่เคยเล่นได้สัมผัสประสบการณ์ของ Dragon Quest อย่างเต็มรูปแบบอีกด้วย
อย่างน้อยภายในงาน PlayStation Experience 2018 South East Asia ยังถือเป็นการทดลองฐานแฟนคลับของ Dragon Quest ในภูมิภาคอีกด้วย ว่าที่ผ่านมาผู้เล่นให้ความสนใจกับ Dragon Quest มากน้อยแค่ไหน และก็เชื่อได้แล้วว่าในตอนนี้ Square Enix ก็น่าจะมีคำตอบที่ดีอยู่ภายในใจแล้วเช่นกัน
กระแสการตอบรับของตัวเกม นอกจากเป็นการผลักดันแบรนด์ PlayStation แล้ว ยังถือเป็นประตูที่จะเปิดให้มีการรีเมคภาคก่อน ๆ ในเทคโนโลยีที่ดีกว่าอีกด้วย เพราะปัจจุบัน Square Enix ยังคงให้ความสำคัญกับการนำเกมภาคก่อนหน้ามาทำใหม่ด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบันอีกเป็นจำนวนมาก อีกทั้งเนื้อเรื่องของ Dragon Quest XI ยังสามารถอธิบายถึงความสัมพันธ์ของตัวละครเดิมในภาคก่อน ๆ หน้าได้ และถ้ายอดขายของ Dragon Quest XI ออกมาดี ก็น่าจะมีโอกาสที่ Square Enix หยิบเอาภาคก่อน ๆ หน้านี้มาทำใหม่เพื่อขยายความตัวละครได้อีกด้วย
ส่งท้าย

เชื่อว่าถ้าพูดถึงเกม JRPG ยังไงชื่อของค่าย Square Enix น่าจะเป็นที่จดจำของทุกคนได้เป็นอย่างดี และกับเกมอย่าง Dragon Quest ก็น่าจะสร้างปรากฎการณ์ที่ดีต่อคนวัย 30 + ได้เช่นกัน ด้วยอายุของเกม กระแสความนิยม สไตล์และรูปแบบการเล่นที่ง่าย ก็น่าจะครองใจผู้เล่นส่วนใหญ่ได้ไม่ยากเช่นกัน
ส่วนใครที่ไม่เคยเล่น ก็อยากให้ลองเปิดใจรับสิ่งใหม่ ๆ แบบนี้เข้ามาดู ผมบอกตามตรงเลยว่า แค่ได้สัมผัส ยังไงก็สามารถคล้อยตามไปกับสิ่งที่ทั้งคุณโอกะโมะโตะ และคุณอุชิคะวะ รวมถึงคุณโฮริอิอยากจะสื่อให้แฟน ๆ ทั้งแฟนเดิมของ Dragon Quest และแฟนใหม่ ๆ ได้แน่นอน
ใครที่สนใจก็อย่าลืมครับ วันที่ 4 กันยายนนี้ สามารถจับจองเป็นเจ้าของ Dragon Quest XI ได้ที่ตัวแทนจำหน่ายของ PlayStation ทุกแห่งทั่วประเทศครับ