หลายวันก่อน พี่ผมบอกว่า Huawei ตอนนี้ ไม่ต่างกับชีวิตของ John Wick ภาค 3 แต่หลังจากข่าวล่าสุดของ BBC ที่ออกมา นั่นคือการที่ ARM ผู้ออกแบบสถาปัตยกรรม CPU ที่โลก Smartphone / Tablet ในปัจจุบันต้องพึ่งพิง ออกจดหมายเวียนภายในว่า “เราต้องเลิกติดต่อกับ Huawei” นี่ขนาดไม่เป็นทางการ แต่เรื่องนี้ เรียกว่าเตะกล่องดวงใจแตกคาที่เลยครับ…
การโดนเพื่อน พี่ น้อง คนรู้จัก พาเหรดกันเลิกคบ ไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่เต็มใจ กับชีวิตเรา ยังเรียกว่ามีเสียหลักได้ ยิ่งกับคำว่าธุรกิจระดับโลก คงไม่ต้องนึกสภาพเลยว่า สาหัส ลำบาก ไร้อนาคตแค่ไหน จนบางทีผมก็มีคำถามว่า ชะตาชีวิต Huawei ตอนนี้ ถ้าเค้ามั่นจริง คงร้องเพลง “ไม่มีเธอไม่ตาย” แบบเข้มเข็งไม่แพ้เจ้าของเพลง หรือความเป็นจริง Huawei อาจเข้าสภาพ “ไม่มีเธอ ฉันตายแน่!!!”
ARM สำคัญขนาดที่เราต้องเรียกว่ากล่องดวงใจ? หรืออันที่จริง ไม่มี ARM ก็ไม่ได้เป็นอะไรซะหน่อย? เรื่องทั้งหมดก็มีอยู่ว่า
โลกที่อุปกรณ์พกพาทุกอย่าง “ฝากชีวิตไว้” ที่ ARM

ก่อนอื่นเราต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่า โลกของอุปกรณ์พกพาทุกชนิดบนโลกนี้ คนที่สามารถพัฒนาหน่วยประมวลผลกลางที่แรง ดุ แต่สามารถประหยัดพลังงานได้อย่างดีเยี่ยม ไม่มีใครที่มีสิทธิบัตรเยอะที่สุดเท่ากับ ARM แล้ว เพราะตัว ARM เชี่ยวชาญเทคโนโลยีนี้มาตั้งแต่สมัยยุคเริ่มต้นของมือถือโทรเข้า-ออก จนถึงสมาร์ทโฟนยุคบรรพบุรุษ (ก่อนโลกมี iPhone) ไม่ว่าจะเป็น Symbian/Maemo/Windows Mobile/WebOS ฯลฯ หรือบลาๆๆๆ ที่ผมอาจไม่ได้พูดถึงในครั้งนี้ ทั้งหมดก็ใช้สถาปัตยกรรม ARM เพราะในเวลานั้น เจ้าใหญ่อย่าง Intel/AMD เค้าก็มองเรื่อง PC กันเป็นหลัก ไม่นึกด้วยว่า โลกจะไปทาง Mobile จนกระทั่งมาถึงยุคที่ iPhone เกิดขึ้น หัวใจหลักของเครื่อง ก็ยังยืนพื้นบน ARM เช่นกัน
นับจากวันที่ iPhone เกิด เรียกว่าเป็นยุครุ่งเรืองของ ARM เลยก็ว่าได้ พอโลกมี Android ปรากฎตัวขึ้นในฐานะระบบปฏิบัติการใช้งานฟรี ใครๆ ก็ใช้ได้ ธุรกิจผลิตชิป IC ทั้งหลายจึงถือกำเนิดขึ้นพร้อม ๆ กัน ARM ที่ดูทรงว่าพัฒนาชิปเองไม่ไหวแล้ว จึงเปลี่ยนแนวธุรกิจมาเป็น “การขายเทคโนโลยีและรูปแบบสถาปัตยกรรมคำสั่ง” (instruction set architecture – ISA) ให้ผู้ผลิตชิป IC ที่สนใจนำไปพัฒนาต่อกันเอง ดังนั้นเราจึงได้เห็น Qualcomm / Apple / Samsung / Mediatek / Nvidia และผู้ผลิต IC ค่ายอื่น ๆ ไม่เว้นแม้แต่ค่ายคอนโซลอย่าง Sony ก็ร่วมด้วยช่วยกันซื้อไปทำต่อ ทำให้ทุกวันนี้ เกิดเป็นชื่อที่คุ้นหู ไม่ว่าจะ Qualcomm Snapdragon / Apple A-Series / Samsung Exynos / Mediatek Helios / Nvidia Tegra / PS Vita และอื่น ๆ อีกมากมายให้เพียบ ไม่เว้นแม้แต่ Huawei ก็ต้องใช้พื้นฐาน ARM มาพัฒนาต่อจนกลายเป็นชิป Kirin ที่เราได้ใช้งานกันอยู่ในทุกวันนี้

แม้ว่าในยุคหลัง iPhone เราได้เห็นคนที่ไม่เคยสนใจ Mobile เลยอย่าง Intel ออกมาผลิตชิป Intel Atom Mobile ด้วยสถาปัตยกรรม x86 แข่ง แต่ก็อย่างที่เห็น… ว่า Intel ก็อยู่ได้ไม่นานจริง ๆ เพราะ App ที่อยู่ใน Play Store ถูกเขียนขึ้นบนพื้นฐานของ ARM ทำให้สมาร์ทโฟนที่ใช้ Atom แทบจะเปิด App ไม่ได้เลย และยังถือเป็นการสร้าง Fragmentation (ความหลากหลายทาง Hardware) ให้กับโลกของ Android เพียงเวลาแค่ไม่กี่ปีชื่อของ Intel Atom Mobile ก็หายไปในที่สุด
นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ ARM เป็นทั้งปัจจุบัน และจะอยู่คู่วงการ Mobile ต่อไปแบบไม่มีใครลงมาเล่นด้วยแน่นอน
เตะครั้งเดียว สะท้านทั้งวงการ

เมื่อ ARM คือเสาหลักทางโครงสร้างแบบนี้ การมีเรื่องแบบนี้กับ Huawei ผลของมัน จึงแทบไม่ต่างกับการดีดนิ้วของ Thanos ถึง Huawei จะเป็นลูกค้ารายหนึ่งที่เข้ามาขอซื้อเทคโนโลยีของ ARM ไปพัฒนาชิป Kirin ผลของคำสั่งแบนจากสหรัฐฯ ส่งผลไปถึง ARM ที่เป็นบริษัทสัญชาติยุโรป (สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในสหราชอาณาจักร) แต่เทคโนโลยีส่วนใหญ่ของ ARM ล้วนถูกจดสิทธิบัตรเอาไว้ในสหรัฐอเมริกา จึงถือได้ว่า ARM เป็นบริษัทที่ใช้เทคโนโลยีของสหรัฐอเมริกา และต้องทำตามคำสั่งดังกล่าวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เหมือน Google เช่นกัน
เมื่อเป็นเช่นนี้ อนาคต Huawei จะไม่มีรูปแบบสถาปัตยกรรมของหน่วยประมวลผล ที่จะสร้าง Kirin รุ่นถัด ๆ ไป ถ้าให้นึกทางออกแบบเบื้องต้น คนที่พอทำได้ใกล้เคียง ARM ที่สุดตอนนี้ ก็หนีไม่พ้น Intel แต่ผมคงไม่ต้องบอกสัญชาติของ Intel นะครับ เพราะการไม่ส่ง Intel Core สำหรับการผลิตโน้ตบุ๊ค Huawei MateBook Pro คงเป็นคำตอบในตัวทั้งหมดแล้ว
และก็ไม่ต้องถามถึงชื่อ AMD ด้วยนะครับ เพราะทั้งสัญชาติ ฝีมือการผลิต ก็มีแค่ PC เท่านั้น นั่นจึงทำให้ทางสว่างสุดท้ายของ Huawei มืดมนไปในที่สุด
ไม่มีเธอ ... แล้วฉันจะตายหรือไม่?

ดั่งคำสอนของพระพุทธเจ้านั่นแหละครับ “ทุกปัญหาย่อมมีทางออก” สำหรับตัว Huawei เองก็เช่นกัน ด้วยความที่เป็นบริษัทที่มีแบ็คใหญ่เป็นรัฐบาลจีน ก็เลยสามารถทำอะไรได้โดยมีรัฐบาลสนับสนุน ซึ่งในกรณีนี้รัฐบาลจีนช่วยเหลือด้วยการออกมาตรการด่วนเรื่องภาษีสำหรับนิติบุคคลประเภทบริษัทเทคโนโลยีที่พัฒนาด้านซอฟต์แวร์ และชิป IC เป็นระยะเวลา 2 ปี จากนั้นอีก 3 ปี ให้จ่ายภาษีครึ่งเดียวคือ 12.5% จากเดิมที่บริษัทเหล่านี้จะต้องจ่ายภาษี 25% ซึ่งมาตรการนี้ทางรัฐบาลจีนได้เตรียมไว้ตั้งแต่สมัยที่ ZTE ถูกรัฐบาลสหรัฐอเมริกาแบนรอบก่อนไป เพื่อเป็นการสนับสนุนโครงการ Made in China 2025 ที่เป็นแผนระยะยาวเดิมของจีน
ฉะนั้น Huawei ที่เป็นบริษัทเทคโนโลยีและโทรคมนาคมชั้นแนวหน้าของโลก และยังเป็นผู้ผลิตสมาร์ทโฟนเบอร์ 2 ของโลกในขณะนี้ จึงได้รับอานิสงค์จากมาตรการนี้ของจีน และมิหนำซ้ำสื่อในประเทศจีนยังได้ออกรายงานพิเศษที่ระบุว่า “Huawei เตรียมแผนรับมือในกรณีนี้ไว้ระยะหนึ่งแล้ว” นั่นคือกรณี Google Huawei ระบบปฏิบัติการที่พัฒนารอไว้อยู่ตั้งแต่ปี 2012 ซึ่งก็คือ Hongmeng OS หรือ Kirin OS ตามที่มีข่าวออกมา รวมถึงเจรจากับร้านขายแอปที่ชื่อ Aptoide เพื่อนำสโตร์นี้มาใช้แทน หรือดึงข้อมูลจากสโตร์นี้ทั้งหมด ไปใช้งานร่วมกับ Huawei AppGallery ของตัวเอง และกรณีของ ARM Huawei ซื้อขาดสิทธิ์ในการพัฒนาชิป ARMv8 มาเก็บไว้ และเริ่มแผนพัฒนาสถาปัตยกรรมใช้แทนมาได้ระยะไว้แล้ว ส่วนกรณีที่ ST Microelectronics กำลังประชุมอย่างเคร่งเครียด ว่าจะหยุดผลิตและส่งชิปให้ ฝั่ง Huawei ก็ดีลกับโรงงาน SMIC (Semiconductor Manufacturing International Corporation) เอาไว้รอแล้ว ซึ่งประสิทธิภาพและเทคโนโลยีการผลิตชิปของโรงงานนี้ ก็เก่งไม่แพ้ TSMC หรือ Samsung เช่นกัน แถมยังสามารถผลิตชิป 7nm แบบสำเร็จได้สูงอีกด้วย

นี่ยังไม่รวมถึงกรณีอื่น ๆ ที่ต้นทางไม่ได้พูดถึงอย่างกรณีชิปโมเด็มสำหรับสมาร์ทโฟนที่ Huawei มี Balong 5000 รับมืออยู่ และกรณีล่าสุดอย่างสมาคม SD Association (SDA) ถอดชื่อ Huawei ออกจากการเป็นสมาชิก ทำให้ Huawei ไม่สามารถผลิตหรือวางจำหน่ายผลิตภัณพ์ที่ใช้มาตรฐานหน่วยเก็บข้อมูลแบบ SD Card ได้ แต่ Huawei ก็มีหน่วยเก็บข้อมูลแบบ NMCard ที่ใช้อยู่ใน P30/Mate 20 แถมยังดูจะเจริญรอยตาม Memory Stick ทั้งหลายของ Sony เข้าไปทุกวัน ๆ เสียอีก ซึ่งถ้า Huawei สามารถจุด NMCard ให้เกิดได้ เรียกว่าก็ไม่ต้องแคร์กรณีของ SDA เลยด้วยซ้ำ
เท่ากับว่า Huawei มีทางหนีทีไล่แทบทุกทาง ไม่ให้ OS ก็มี OS แทน ไม่ให้เทคโนโลยี ก็มีเทคโนโลยีแทน ไม่ให้โรงงาน ก็มีโรงงานแทน หรือก็คือ ยืนสวย ๆ ร้องเพลง “ไม่มีเธอไม่ตาย” ด้วยน้ำเสียงเข้มแข็งแบบเจ้าของเพลงได้สบายเลย
แต่คนที่จะตาย... คือสหรัฐอเมริกานั่นแหละ

คนที่อาจจะต้องมานั่งร้องเพลง “มหันตภัย” ปลอบใจตัวเอง คงจะหนีไม่พ้นฝั่งสหรัฐอเมริกานั่นแหละที่เลือกเดินหมากในเกมนี้ผิดพลาด เพราะ Huawei ถือเป็นสินทรัพย์ (Asset) ที่มีมูลค่าสูงมากของสหรัฐอเมริกา ซึ่งรายงานจาก The Wall Street Journals ระบุว่า Huawei ได้ลงทุนกับ Qualcomm ไปกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ประกอบกับรายได้จาก Huawei ที่เข้าสหรัฐอเมริกาจากการซื้อชิปของ Intel และ Broadcom ก็มีมูลค่าสูงถึง 11,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และ Huawei เองมีสิทธิบัตรในเรื่อง 5G ไว้เป็นจำนวนมาก นี่จึงแสดงให้เห็นได้ว่าการตัดเลือดที่เลี้ยง Huawei คนที่จะตายคือฝั่งสหรัฐฯ ที่จะต้องสูญเสียรายได้เข้าประเทศนับหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และยังไม่รวมการถอนทุนคืนจาก Qualcomm อีกด้วย
แต่ที่ซ้ำร้ายกว่าเรื่องรายได้ของ Huawei คือการที่รัฐบาลจีนเลือกที่จะปกป้อง Huawei เต็มสูบ ทั้งนิตินัยและพฤตินัย ซึ่งก็คือการจัดตั้งฝ่ายกฎหมายระหว่างประเทศเพื่อช่วยเหลือ Huawei ด้วยข้อกฎหมายที่สามารถเล่นงานฝั่งสหรัฐอเมริกาได้เป็นกรณีพิเศษ พร้อม ๆ กับการฮึ่ม ๆ ว่าจะงดส่งแร่ Rare Earth ที่เป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตชิป IC ให้สหรัฐอเมริกา และบริษัทคู่ค้าของสหรัฐอเมริกาทั้งหมด ฉะนั้นแล้วด้วยอำนาจในการต่อรอง ฝั่งจีนมีอยู่เยอะและเหนือกว่าสหรัฐอเมริกามาก เพราะทันทีที่ Xi Jinping ฮึ่ม ๆ ว่าจะงดส่งแร่ Rare Earth ให้ Donald Trump ก็ต้องถอยในเรื่องนี้หนึ่งก้าวด้วยการประกาศทุเลาคำสั่งและให้กระทรวงพาณิชย์ออกใบอนุญาตชั่วคราวให้ Huawei สามารถเจรจาธุรกิจกับบริษัทสัญชาติอเมริกันต่อไปได้อีกถึง 3 เดือน โดยมีข้อแม้ว่าเฉพาะสินค้าที่มีการผลิตในปัจจุบันเท่านั้น

ใครกันแน่ที่ควรจะได้รองเพลง “ไม่มีเธอไม่ตาย” ??

แม้ว่าฝั่งสหรัฐฯ จะออกมากึ่งยอมรับแบบกลาย ๆ แล้วว่ากรณีนี้เป็นหนึ่งในกรณีที่จะกดดันให้ทางจีนออกมาเจรจายุติสงครามการค้าระหว่างประเทศ และกำหนดแนวทางร่วมกันว่าอะไรทำได้บ้างไม่ได้บ้าง เพราะแต่ละคนก็มีขุมทรัพย์ที่สำคัญกันทั้งสองฝ่าย ฝ่ายจีนมีขุมทรัพย์ด้านวัตถุดิบและกำลังการผลิตที่ใหญ่ถึงใหญ่มาก ฝ่ายสหรัฐฯ เองก็มีขุมทรัพย์เป็นสิทธิบัตรด้านเทคโนโลยีเป็นจำนวนมาก หากทั้งสองสามารถหาแนวทางเรื่องนี้ได้ตรงกัน คลิ๊กกัน ไม่ต้องนึกภาพเลยครับว่ามหาอำนาจด้านเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือของทั้งสองจะมีขนาดที่ใหญ่ถึงใหญ่มาก และนั่นก็เป็นหนึ่งในความหวังที่สหรัฐอเมริกาอยากจะให้มันเกิดขึ้น แต่ในทำนองเดียวกัน ฝ่ายจีนเองก็ใช่ว่าอยากจะให้ดีลนี้เกิดขึ้น เพราะมันจะส่งผลร้ายต่อเศรษฐกิจรวมของจีนมาก
ทางเดียวที่จีนจะเอาตัวรอดจากแรงกดดันนี้ได้ ก็เหลือแค่สองทางคือไม่ร่วมมือกับสหรัฐฯ ก็ต้องพึ่งตัวเองตามลำพัง แต่สิ่งที่จะตามมา ก็คือการรุกรานอย่างไม่หยุดยั้งของสหรัฐอเมริกา และความคาวที่มันจะค่อย ๆ กรุ่นออกมาจากบริษัทจีนที่ตกเป็นเป้าทั้งหมด ไม่เว้นแม้แต่กรณีของ Huawei เช่นกัน เราอาจจะไม่รู้ก็ได้ว่าบริษัทที่เบื้องหน้าเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีชั้นแนวหน้าของโลก เบื้องหลังอาจจะมีอะไรคาว ๆ ซ่อนไว้อยู่ก้ได้

เชื่อได้ว่าเรื่องราวทั้งหมดนี้จะยังไม่จบลงง่าย ๆ เพราะนอกจาก Huawei แล้ว รายต่อไปที่จะโดนเล่นก็อย่างที่กล่าวไปข้างต้น และเชื่อว่าทางจีนก็น่าจะมีแผนรับมือเอาไว้อย่างแน่นอน สงครามนี้ถ้ายังไม่มีฝ่ายใดเพลี้ยงพล้ำลงไป ก็อย่าเพิ่งนับศพทหาร และใครจะได้ยืนหนึ่งร้องเพลง “ไม่มีเธอไม่ตาย”
ที่แน่ ๆ ยิ่งลากยาว ยิ่งไม่เป็นผลดีต่อทั้งสองฝ่ายแน่นอน….