ติสท์อยากเขียน

รวมรถคันโปรดจาก Thailand International Motor Expo 2019 “เวลาของรถเล็ก และสวรรค์ของรถแพงกับแรง”

ปลายเดือนพฤศจิกายนทีไร เป็นเวลาสำคัญของงานแสดงรถยนต์ที่พัฒนาจากสถานที่เล็ก ๆ ที่เซ็นทรัลลาดพร้าว มาสู่งานใหญ่ไม่แพ้ Bangkok international Motor Show ช่วงมีนาคม-เมษายน นั้่นคือ Bangkok Motor Expo จัดโดยสื่อสากล เจ้าของนิตยสารฟอร์มูล่า ฯลฯ ที่เขียนชื่อแบรนด์รถในนิตยสารจนทำให้ผมออกเสียงชื่อแบรนด์นั้น ๆ ถูกมากขึ้นด้วย สำหรับปี 2019 นี้ ถึง 11 เดือนที่ผ่านมา จะเป็นเดือนที่บรรยากาศรวม ๆ อาจฝืด ๆ กันไปบ้าง แต่เรื่องรถใหม่ รถที่อยู่ในกระแสของคนทั่วไปที่จะซื้อได้ ก็ยังมีกำลังซื้อที่รออยู่ให้เห็นเพียบใช้ได้เลย

ผมอาจไม่ได้เขียนเรื่องรถเก่งเท่าฝั่งที่นำเสนอ Content รถยนต์เป็นหลัก แต่สำหรับงานนี้แล้ว ผมมีหลายคันที่ชอบ ไปถึงงานก็ วนไปวนมา ผุดลุกผุดนั่ง ใช้เวลาตั้งแต่สิบโมงเช้ายาวถึงเย็นได้อย่างมีความสุข เหมือนงานนี้เป็นสวนสนุกสำหรับผม เติมไฟทางความรู้สึกในแบบผู้ชายที่ชอบรถยนต์ คันที่ผมชอบ น่าสนใจที่ไปงานนี้ ควรไปชมในงานนี้ได้แก่

Range Rover Evoque

ตอนผมเป็นเด็ก ภาพของรถไว้ “ลุย” คือภาพของรถขับสี่ที่ เหลี่ยม ๆ ดูแกร่ง ๆ ไม่ว่ารถคันนั้นจะอยู่ในระดับราคาไหน แต่ถ้าทำมาลุย มันต้องเป็นภาพของรถที่ดูแกร่ง ๆ จนกระทั้ง​ Land Rover นำเสนอ Range Rover Evoque ที่ใช้ชื่อแบรนด์ที่สื่อถึงความ “หรู” แต่นี่คือหรูเล็ก คุณชาย คุณหญิง คนเล็กสุดในครอบครัว งานออกแบบจาก Gary McGovern ผสานการให้คำปรึกษาการออกแบบภายในของ Victoria Beckham เซเลปชั้นนำระดับโลก ผสมกับมาตราฐานของรถค่ายนี้ที่ต้อง “ลุยได้ทุกที่” รุ่นแรกของ Evoque จึงกลายเป็นขวัญใจคนมีเงินที่ต้องการคำว่า “โดดเด่น” หลังจากรุ่นแรกทำตลาดนานถึง 7 ปีเต็ม ๆ รุ่นที่ 2 ที่มารับไม้ต่อ กว่าจะมาถึงประเทศไทย ต้องรอกันถึงหนึ่งปีเต็ม ๆ

ในรุ่นที่ 2 นี้ ถ้าไม่ใช่คนติดตามเรื่องรถ เวลาวิ่งบนถนนแล้วมองผ่าน ๆ อาจแยกกันไม่ออกว่า ไหนคือรุ่นแรกหรือรุ่นสอง แต่ทุกเสน่ห์ที่ทำให้รถรุ่นนี้ประสบความสำเร็จ ยังคงอยู่ครบ ทรวดทรงที่ดีอยู่แล้ว เพิ่มเติมคือทันสมัยไปอีกนาน ตามรอยรุ่นพี่ Velar ห้องโดยสารที่ดูดีจบ แต่เพิ่มเติมด้วยความสามารถทางการใช้งาน และสำหรับประเทศไทย รุ่นที่นำมาจำหน่าย เป็นเครื่อง 1.5 ลิตร สามสูบ ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าที่รองรับการชาร์จไฟบ้าน โดยราคาจำหน่ายอยู่ที่ 3,999,000 บาท และรุ่นแต่ง R-Dynamic ที่ 4,499,000 บาท

ตัวรถอะชอบ ขายตัวเองออก แต่ในระดับราคานี้ รสนิยมคนมีเงินที่ซื้อรถในเวลาที่ตลาดมีตัวเลือก “เยอะมาก” ในระดับนี้ ความสำเร็จเท่ารุ่นแรก คงเป็นคำถามที่ตอบยาก ต้องให้เวลาพิสูจน์กันครับ

Volvo V60

เวลาคิดถึงรถแบรนด์นี้ มีไม่กี่สิ่งที่พูดได้ชัด ๆ กับแบรนด์นี้แน่ ๆ คือภาพของความอบอุ่นในการใช้งาน รวมถึงความปลอดภัยที่ใช้เป็นสโลแกนได้เลยว่า “Volvo for life” อีกสิ่งที่ผมคิดถึงเสมอกับรถแบรนด์นี้ คือรถแนวห้าประตูแบบทรงยาว ที่เรียกว่า “สเตชั่นแวกอน” หรือถ้าเล่นคำหน่อยก็ “เอสเตท” สำหรับหมวด V ใน Volvo คือตัวถังสเตชั่นแวกอนนี่แหละครับ ในสังคมที่รถยนต์สามรรถบอกตัวตนของผู้ใช้งานได้ การขับรถแนวนี้ มักมาด้วยภาพของคนรักครอบครัว หรือติดตลกหน่อยก็คือ ผู้ชายคนไหนขับ อาจโดนแซวว่า “เอารถเมียมาใช้เหรอ” แต่เช่นเดิมครับ ยุตที่งานออกแบบรถยนต์สวยงาม ลบภาพเก่า ๆ ของบุคลิกกันได้ Volvo ก็คือหนึ่งในแบรนด์ที่ทำรถทรงสเตชั่นแวกอนได้สวย น่าใช้งานที่สุดอีกเจ้า

สำหรับประเทศไทย หลังจากทำตลาดด้วย V90 ล็อตเล็ก ๆ ไปได้สวย V60 ที่ถือเป็นรุ่นย่อมลงมา ก็มาถึงไทยเรียบร้อย ด้วยขนาดรถที่ประมาณ BMW 3 Series / Mercedes Benz C-Class ทำให้ V60 เรียกว่ากำลังดีกับการใช้งานทุกวันได้ ยิ่งกับยุคใหม่ที่เป็นเครื่อง 2.0 ลืตร เทอร์โบ รวมพลังกับมอเตอร์ไฟฟ้า T8 ขับเคลื่อนสี่ล้อ มีม้าให้เล่น 407 ม้า เครื่องตระกูลนี้ ทำให้ภายใต้รูปร่างรถที่แอบเรียบร้อยผู้ดี แต่ถ้าจะเอาเรื่องบนถนนก็จัดให้ได้ พิสูจน์ได้จากคนที่ขับ XC90 / S90 ที่ใช้เครื่องใหม่นี้ได้ ว่านิสัยเหมือนคนใจเย็นที่ห้ามให้โมโห V60 ยังคงงานออกแบบหลัก ๆ ของ Volvo ยุคใหม่ ไม่ว่าจะไฟหน้าทรงค้อนธอร์ จอกลางในห้องโดยสารใหญ่ ๆ ควบคุมการใช้งานในรถ รองรับ Apple CarPlay หัวเกียร์สวย ๆ ทรงกำลังดี เครื่องเสียง Bowers & Wilkins ห้องโดยสารที่หนังดี (แต่เลอะง่าย) และอัดความปลอดภัยเต็มพิกัดแบบ Volvo ยุคใหม่ที่คุ้นเคย

ทั้งหมดนี้ในราคาที่คู่แข่งสายตรงฝั่งเยอรมันคงต้องขยี้ตาเบา ๆ ในรุ่น Momemtum ราคา 2.29 ล้านบาท รุ่น Inscription ราคา 2.69 ล้านบาท รถหน้าตาดี ของเพียง ศูนย์บริการอาจต้องให้เวลาพิสูจน์กันต่อไป แต่ถ้าผมมีเงินสามล้าน ใจผมสั่นระรัวให้กับรถยืมเมียมาใช้ที่ดูดีแบบนี้ครับ

BMW X3M/X4M

ผลบุญของภาษีสรรพสามิตที่เก็บตาม “คาร์บอนฯ ที่ปล่อยจากท่อไอเสีย” โดยเลิกเก็บภาษีตามแรงม้าของเครื่อง ทำให้รถยนต์น่าเร้าใจทั้งหลาย ได้มาขายกันในประเทศไทยมากขึ้น หนึ่งในรถขวัญใจบ้านคนมีเงินอย่าง BMW X3 กับ X4 ที่สามารถหาได้ในถนนเมืองหลวง หัวเมืองใหญ่ในหลายจังหวัด ก็ได้เวลาสวมบทโหดให้ตลาด กับรุ่นสำหรับพ่อบ้าน แม่บ้าน ที่เท้าหนักพิเศษอย่าง X3M / X4M รถ SAV ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ 3.0 ลิตร หกสูบเรียง เทอร์โบคู่ ทำแรงม้าได้ 480 ม้า กดคันเร่งจาก 0-100 แค่ 4.2 วินาที พร้อมการปรับแต่งทั้งหมดจาก M Division หน่วยทำรถแรงจริงของ BMW

พ่อบ้านท่านไหนที่อยากได้รถสปอร์ตมาขับ แต่ด้วยอายุ สถานภาพชีวิต ครอบครัว หรือชีวิตคู่ที่กุมด้วยกงสีในรูปแบบภรรยา ฯลฯ ใจมันเรียกร้องความแรง แต่ถ้าซื้อรถอย่าง M4 / M8 คงโดนตระกูลตัดจากกองมรดกหรือเมียให้เงินใช้วันละ 1,000 แทนเอาได้นั้น นี่คือโอกาสอันดีที่จะได้มีรถ M แท้ ๆ แต่ตอบสนองชีวิตทุกด้านได้ ในราคา 7.99 ล้าน เท่ากันทั้งสองรุ่น

Nissan GT-R 50th Anniversary

ถ้าให้ผมบอกเหตุผลที่ผมชอบรถยนต์ Nissan GT-R คือเหตุผลง่าย ๆ ที่ผมจะใช้ตอบออกไป รถคันนี้คือตัวแทนของความฝันเด็กผู้ชายที่คลั่งไคล้รถยนต์ทุกคน ไม่ว่าจะรู้จักรถคันนี้เพราะติดตามเรื่องรถ หรือจะเพราะดูช็อตที่ยิงไนตรัสโดดข้ามสะพานใน 2Fast 2Furious จนทำให้รถรุ่นนี้ กลายเป็นสัญลักษณ์ของหนังตระกูลนี้ หรือจะอย่างที่ผมติดตาติดใจที่สุดกับ Initial D ที่ R32 กับ R34 เป็นตัวละครสำคัญในการ์ตูน แต่สิ่งสำคัญที่สุดของรถรุ่นนี้ คือความภูมิใจของค่ายรถจากเอเชีย ที่สามารถทำรถสมรรถนะสูง เป็นคู่รักคู่แค้นกับ Porsche 911 Turbo มาได้โดยตลอด สำหรับ R35 ที่ทำตลาดอยู่ตอนนี้ เรียกว่าเป็นคนหนุ่มมีอายุที่ยังสามารถสู้กับเด็กรุ่นใหม่ได้อยู่ อาจไม่ได้โหดเท่าสมัยออกใหม่ ๆ แต่รถแรงรุ่นใหม่ ๆ ก็ไม่ควรประมาทในสิ่งที่ Nissan GT-R ทำได้เช่นกัน และในปี 2019 ถือเป็นปีที่ 50 ที่โลกนี้มี Nissan GT-R จากรถบ้านรุ่นแรงสุด สู่รถสปอร์ตเต็มตัว และถ้าจะให้ผมพิมพ์สิ่งที่ผมจำได้เกี่ยวกับรถคันนี้ ผมคงต้องพิมพ์ยาวกว่านี้อีกพอสมควร

Nissan ประเทศไทย นำเข้ารุ่นพิเศษฉลองปีที่ 50 ของ GT-R ด้วยการตกแต่งพิเศษ โดยเฉพาะสีน้ำเงินที่ได้แรงบันดาลใจจากสีน้ำเงิน Bayside Blue ที่ของ Nissan Skyline GT-R (R34) พร้อมห้องโดยสารที่ใช้หนังโทนสีพิเศษ ในขณะที่ราคาขายก็ลดลงจาก 13 ล้าน เหลือแค่ 11.3 ล้านบาท เรียกว่าเป็นรถที่คนรักคน ควรมีในโรงรถเพื่อการสะสมได้เลย

Toyota GR Supra

ในยุค 90 ถ้าให้พูดถึงคู่แข่งรถคันโปรดของผมที่พึ่งอ่านผ่านไป Toyota Supra รหัส A80 คือรถที่เป็นภาพสะท้อนของความรุ่งเรืองของรถแรงจากฝั่งญี่ปุ่นในยุค 90 ได้เป็นอย่างดี แน่นอนว่า ด้วยสภาพการแข่งขัน เศรษฐกิจ สถานทางการเงิน ฯลฯ ของบริษัท การที่ค่ายรถที่ปกติทำแต่รถขายเน้นผลกำไร สามารถทำรถสปอร์ตขายได้ แปลว่าบริษัทต้องมีเงิน หรือมีวิศัยทัศน์บางอย่าง สำหรับ Toyota แล้ว การที่ประธานคนปัจจุบัน Akio Toyoda ผู้ชายที่ผมเรียกว่า Young At Heart ตัวจริง เป็นคนบ้ารถ เป็นคนรักกลิ่นยาง กลิ่นไหม้ของการแข่งขันรถยนต์ จะเป็นพ่อยกที่ทำให้ Toyota กลับมามีรถสปอร์ตขายได้ แถมวิธีสร้าง ก็ทำให้วงการรถได้รับประโยชน์ด้วย ตัวอย่างเช่น Toyata 86 ที่ได้หลายสิ่งดี ๆ จาก Subaru มาช่วยกันทำจนอีกฝั่งได้ BRZ ไปขาย Supra รหัส A90 นี้ ก็คือผลงานที่บินไปคุยกับ BMW เพื่อช่วยกันสร้างรถคันเดียวกัน แต่คนละบุคลิก ในเวลาที่รถสองที่นั่งเปิดประทุน กลายเป็นของขายยาก แต่ถ้าไม่มีเลยก็ไม่ได้ ส่วน Toyota ถ้าจะทำรถสปอร์ตรุ่นใหม่แบบเทเงินกงสีลงไปเลยตรง ๆ คาดว่าผู้ถือหุ้นกับบ้าน​ Toyada ก็คงไม่เอาด้วยแน่ ๆ Supra รุ่นใหม่ จึงเป็นผลงานของการทำรถที่ ขับสนุก มีความแรงแบบสปอร์ตจริง ๆ และอยู่ในราคาที่คนเล่นรถระดับนี้ สามารถจับต้องความสนุกนี้ได้

Toyota ประเทศไทย นำเข้ามาขายในราคาล็อตแรก เป็นราคาพิเศษที่ 4.99 ล้านบาท ราคาเท่ากับ Z4 รหัส M40i (เครื่องเดียวกันด้วย) ซึ่งรถคันจริง หลังจากได้ลองเข้า ๆ ออก ๆ ถ้ามองด้วยเปลือก มันอาจเป็นแค่ BMW ที่ติดตรา Toyota แต่ถ้ามองรวม ๆ แบบไม่อคติ จะเห็นหลายสิ่งที่มีความเป็น Toyota และถ้าคันก่อนหน้าคือรถที่ออกมานานแล้ว แรงอะใช่ แต่ไม่ได้ต้องการความโหด ดึงหลังติดเบาะแทบจะทุกเวลาขนาดนั้น เงิน 5 ล้าน ก็ทำให้ชีวิตสัมผัสความสปอร์ตเต็มขั้นได้แน่นอนครับ

All New Nissan Almera

รถที่ผมพิมพ์ถึงไปก่อนหน้าเนี่ย สารภาพตรง ๆ เลยว่า ตอนนี้ผมก็ไม่มีปัญญาจะซื้อหรอกครับ แต่รถที่พิมพ์มาก่อนหน้าทั้งหมดนี้ ผมเชื่อตัวเองว่า ไม่กี่ปีจากนี้ ผมจะได้เป็นเจ้าของแบบสบาย ๆ แน่นอน กลับมาว่ากันที่รถที่เรียกแขกเข้างานนี้ได้ดีมากคันแรกกัน นั่นคือรุ่นใหม่ของ Eco Car Phase 2 จาก Nissan กับรถสี่ประตูขวัญใจคนอยากมีรถขับ Nissan Almera หลังจากที่รุ่นแรกทำตลาดมาเกือบ 10 ปี ใช่ครับ ขายนานมาก รุ่นใหม่ของ Almera ให้พิมพ์แบบไม่เกรงใจก็คือ ถ้าใช้รุ่นเดิมอยู่ เห็นรุ่นใหม่แอบมีเสียใจ ไม่ว่าจะหน้าตา ข้าวของ สิ่งต่าง ๆ ที่ให้มาในรถ ดูดีจนคิดว่า รุ่นที่แล้วเป็นลูกที่พ่อแม่ไม่รัก เครื่องยนต์ที่หายอืด จะวิ่ง จะเร่ง ไม่หวาดเสียวอีกต่อไป และไม้เด็ดคือราคาขายที่เปิดตัวมาปุ๊ป เสียงสรรเสริญเต็มโลกออนไลน์ และในวันเปิดตัวนั้น ผมได้ลองขับคร่าว ๆ ในสถานที่ปิดที่ทาง Nissan จัดไว้ ตัวรถให้กำลังเครื่องที่ชัดเจนเลยว่า กระฉับกระเฉงมาก มีกำลัง มีความมั่นใจ มีตัวรถรวม ๆ ที่ยกระดับทุกด้าน แบบที่ถ้าให้ซื้อ Almera โฉมเก่าที่ลดราคาแบบสุด ๆ ก็ไม่ควรซื้อจริง ๆ

คุณงามความดีน่าสนใจระดับกอบกู้ยอดขายของ Nissan​ โดยรวมในตอนนี้ ที่อาการไม่ดีได้แน่ ๆ ไม่เชื่อลองไปงานดูได้ครับ บูธของ Nissan แน่นแบบไม่ได้เห็นภาพแบบนี้มานานมากแล้ว ยังไงก็ ขายดีแล้วก็ใช้โอกาสนี้ สร้างความรักให้ลูกค้าที่ซื้อไป เพื่อให้อนาคต เค้ากลับมาซื้อรุ่นที่ใหญ่กว่าของแบรนด์นะครับ : )

Mazda 2

ถ้าให้พูดถึงรถคันเล็ก ที่ขายดีชนะใจวัยรุ่น ชนะใจคนมีรถคันแรก (ถึงราคาจะค่อนข้างแรงใช้ได้) รวมถึงทำให้ตำราการขายรถของไทย ยังสามารถพูดได้เต็มปากว่า รถที่คนไทยจะเลือกซื้อ คือรถที่ “สวย” Mazda 2 คือตัวแทนคำตอบนั้นจริง ๆ รุ่นที่ทำตลาดอยู่ ขายมา 5 ปีแล้ว ถ้าเป็นอายุของรถญี่ปุ่นทั่วไป ช่วงปีที่ 3 ต้องจับแต่งหน้าทาปาก เพื่อกระตุ้นยอดขายแล้ว แต่ Mazda 2 แค่ปรับอุปกรณ์ให้สดขึ้นทุกปี โดยที่หน้าตารถยังเรียกแขกให้ซื้อได้มาโดยตลอด แต่ในเมื่อชาวบ้านออกรุ่นใหม่ถอดด้าม แถมหน้าตาดีระดับมาประกวดด้วยได้ Mazda 2 เลยขอเปลี่ยนจาก “วัยรุ่นเสื้อผ้าสยาม” เป็น “วัยรุ่นใส่แบรนด์เนม” นั่นคือหน้าตารถมีการปรับให้ดูผู้ใหญ่ขึ้น แต่เก็บบุคลิกหลัก ๆ ที่ทำให้ทุกคนยังมองว่า Mazda 2 ดูสูงกว่าระดับของรถที่ขายอยู่ และเพิ่มเติมด้วย Options ที่ทำให้สู้คู่แข่งได้มากขึ้น ในราคาที่ปรับแค่ 7,000 – 20,000 บาท เท่านั้น

ถ้าสิ่งเดียวที่จะทำให้ Mazda 2 ไม่น่าซื้อในตอนนี้ ก็คงเป็นเรื่องบริการหลังการขาย ปัญหาของเครื่องดีเซล ที่ทั้งหมดนี้ ยังรอให้ Mazda ไล่เก็บทุกอย่างให้เข้าที่เข้าทางต่อไป

Honda City

ถ้าบูธ Nissan ว่าคนเยอะแล้ว ที่คนเยอะแทบจะไม่ต่างกัน ก็คงต้องยกให้ Honda ที่ไม่นานมานี้ ผมก็ไปเจอหน้า Jazz ใหม่ที่ญี่ปุ่นมาแล้ว แต่ที่ไทยนั้น…อนาคตยังคลุมเครือว่าไม่ขายรุ่นใหม่แล้ว? แต่นั้นก็คือเรื่องของอนาคต ปัจจุบันที่ร้อนแรงของ Honda ก็คงต้อง City ใหม่ แต่ความร้อนแรงนั้น แอบสวนทางกับ Almera ไปเล็กน้อย หน้าตารถรวม ๆ ออกแนวไม่รักก็เกลียดไปเลย ห้องโดยสารยิ่งแล้วใหญ่ ถ้าโอเค ก็ไม่โอเคไปเลย คันจริงที่ผมได้เห็นรวม ๆ ถ้าเป็นรุ่น S / SV ที่แต่งมาในแนวหรูหน่อย ดูแล้วน่าจะขายดีสุด ในขณะที่รุ่น RS คือรุ่นที่ดูแล้ว ถ้าซื้อไปต่อยอดสักหน่อย ก็เป็นรถที่หล่อได้ไม่ยาก ห้องโดยสารโดยรวม อาจไม่ตื่นตาตื่นใจ แต่ภาพรวมของงานประกอบ วัสดุที่ใช้ ไม่ได้แย่อย่างที่เห็นในภาพ แค่โทนสี การทำผิวสัมผัสต่าง ๆ มันอาจไม่ดูดีเท่าที่ควรจะเป็นไปหน่อย เบาะหลังก็ยังเป็นจุดที่ผมชอบมาตั้งแต่ City รุ่นที่ 3 เพียงแต่ที่วางขา ยังไม่ได้กว้างสะใจเท่าคู่แข่งเจ้าอื่นนัก แต่อย่างน้อย มูลค่าของรถคันนี้ทั้งหมด ไปตกอยู่ที่เครื่องยนต์ใหม่ 1.0 Turbo ที่ให้ประสิทธิภาพเท่าเครื่อง 1.5 เดิม ดูแล้วเครื่องใหม่นี้ น่าจะแพงจนเป็นต้นทุนหลักของรถคันนี้เช่นกัน

เอาเป็นว่า ถ้าไม่ชอบสิ่งที่เห็นใน City ใหม่นี้ ก็คงโทษอะไรไม่ได้นอกจากแม่งานออกแบบที่ต้องอิงตลาดอินเดีย เพราะมองไปที่ Civic / Accord / CR-V ที่เป็นรถที่ออกมาในระยะไล่เลี่ยแล้ว แม่งานออกแบบอเมริกา เทียบกับอินเดีย คงพอบอกอะไรไม่มากก็น้อย แต่สัญญาณที่ดีอย่างหนึ่งที่เห็นจาก City คือ รถคันนี้ Options ต่าง ๆ อาจไม่ได้ถล่มเท่าคู่แข่ง ซึ่ง Honda ทุกรุ่นในโฉมที่ผ่านมา อัดของเล่นในรถจนเบียดเบียนความทนทานของงานวิศวกรรมไปสักหน่อย ถ้า Honda ยุคนี้จะเอาต้นทุนไปใส่ในสิ่งที่ลูกค้ามองไม่เห็น แต่ทำให้รถออกมาดีขึ้น ทนทานไว้ใจได้มากขึ้น ก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีอยู่ หลังจากนี้ คงต้องมาดูกันว่า City ใหม่นี้ จะขับดีไหม

อ้อ….นอกจากนี้ยังมี Civic Hatchback ที่ถึงคิวปรับโฉมเล็กน้อยเพราะขายมาถึงกลางอายุแล้ว น่าซื้อขึ้นมาก เพราะอุปกรณ์ติดรถ เทียบเท่ากับ 1.5 Turbo RS ตัวถังซีดาน พร้อมสีเทานมที่สวยมากจอดอยู่

ก็….ทั้งหมดนี้รถที่ผมชอบในงาน Motor Expo 2019 จริง ๆ ยังมีอีกหลายคันที่ผมชอบเหมือนกัน แต่เอาเท่าที่พิมพ์มานี้ ดูหมดแล้ว ไปเดินเล่นรอบงานต่อ ก็จะพบคันที่คุณผู้อ่านชอบเพิ่มขึ้นเองได้ไม่ยากเช่นกันครับ งานจะมีถึงวันที่ 10 ธันวาคมนี้ ที่ Impact Challenger Hall เมืองทองธานี

แล้วพบกันใหม่ปี 2020 ครับ : )

คณะแกดกวน #teamgadguan

ดลกุล เนตรรัตนากุล (zipboy)

ชื่อเต๋า อายุหลัก 3 ชอบของเล่นไฮเทคทั้งหลาย แต่ไม่ค่อยจะได้เล่น ต้องไปยืมชาวบ้านมาลอง เป็นกรรมกรประจำ #TeamGadGuan รักที่จะเขียน และรักคนอ่านครับ^^