ปลายเดือนพฤศจิกายนทีไร เป็นเวลาสำคัญของงานแสดงรถยนต์ที่พัฒนาจากสถานที่เล็ก ๆ ที่เซ็นทรัลลาดพร้าว มาสู่งานใหญ่ไม่แพ้ Bangkok international Motor Show ช่วงมีนาคม-เมษายน นั้่นคือ Bangkok Motor Expo จัดโดยสื่อสากล เจ้าของนิตยสารฟอร์มูล่า ฯลฯ ที่เขียนชื่อแบรนด์รถในนิตยสารจนทำให้ผมออกเสียงชื่อแบรนด์นั้น ๆ ถูกมากขึ้นด้วย สำหรับปี 2019 นี้ ถึง 11 เดือนที่ผ่านมา จะเป็นเดือนที่บรรยากาศรวม ๆ อาจฝืด ๆ กันไปบ้าง แต่เรื่องรถใหม่ รถที่อยู่ในกระแสของคนทั่วไปที่จะซื้อได้ ก็ยังมีกำลังซื้อที่รออยู่ให้เห็นเพียบใช้ได้เลย
ผมอาจไม่ได้เขียนเรื่องรถเก่งเท่าฝั่งที่นำเสนอ Content รถยนต์เป็นหลัก แต่สำหรับงานนี้แล้ว ผมมีหลายคันที่ชอบ ไปถึงงานก็ วนไปวนมา ผุดลุกผุดนั่ง ใช้เวลาตั้งแต่สิบโมงเช้ายาวถึงเย็นได้อย่างมีความสุข เหมือนงานนี้เป็นสวนสนุกสำหรับผม เติมไฟทางความรู้สึกในแบบผู้ชายที่ชอบรถยนต์ คันที่ผมชอบ น่าสนใจที่ไปงานนี้ ควรไปชมในงานนี้ได้แก่
Range Rover Evoque

ตอนผมเป็นเด็ก ภาพของรถไว้ “ลุย” คือภาพของรถขับสี่ที่ เหลี่ยม ๆ ดูแกร่ง ๆ ไม่ว่ารถคันนั้นจะอยู่ในระดับราคาไหน แต่ถ้าทำมาลุย มันต้องเป็นภาพของรถที่ดูแกร่ง ๆ จนกระทั้ง Land Rover นำเสนอ Range Rover Evoque ที่ใช้ชื่อแบรนด์ที่สื่อถึงความ “หรู” แต่นี่คือหรูเล็ก คุณชาย คุณหญิง คนเล็กสุดในครอบครัว งานออกแบบจาก Gary McGovern ผสานการให้คำปรึกษาการออกแบบภายในของ Victoria Beckham เซเลปชั้นนำระดับโลก ผสมกับมาตราฐานของรถค่ายนี้ที่ต้อง “ลุยได้ทุกที่” รุ่นแรกของ Evoque จึงกลายเป็นขวัญใจคนมีเงินที่ต้องการคำว่า “โดดเด่น” หลังจากรุ่นแรกทำตลาดนานถึง 7 ปีเต็ม ๆ รุ่นที่ 2 ที่มารับไม้ต่อ กว่าจะมาถึงประเทศไทย ต้องรอกันถึงหนึ่งปีเต็ม ๆ

ในรุ่นที่ 2 นี้ ถ้าไม่ใช่คนติดตามเรื่องรถ เวลาวิ่งบนถนนแล้วมองผ่าน ๆ อาจแยกกันไม่ออกว่า ไหนคือรุ่นแรกหรือรุ่นสอง แต่ทุกเสน่ห์ที่ทำให้รถรุ่นนี้ประสบความสำเร็จ ยังคงอยู่ครบ ทรวดทรงที่ดีอยู่แล้ว เพิ่มเติมคือทันสมัยไปอีกนาน ตามรอยรุ่นพี่ Velar ห้องโดยสารที่ดูดีจบ แต่เพิ่มเติมด้วยความสามารถทางการใช้งาน และสำหรับประเทศไทย รุ่นที่นำมาจำหน่าย เป็นเครื่อง 1.5 ลิตร สามสูบ ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าที่รองรับการชาร์จไฟบ้าน โดยราคาจำหน่ายอยู่ที่ 3,999,000 บาท และรุ่นแต่ง R-Dynamic ที่ 4,499,000 บาท

ตัวรถอะชอบ ขายตัวเองออก แต่ในระดับราคานี้ รสนิยมคนมีเงินที่ซื้อรถในเวลาที่ตลาดมีตัวเลือก “เยอะมาก” ในระดับนี้ ความสำเร็จเท่ารุ่นแรก คงเป็นคำถามที่ตอบยาก ต้องให้เวลาพิสูจน์กันครับ
Volvo V60

เวลาคิดถึงรถแบรนด์นี้ มีไม่กี่สิ่งที่พูดได้ชัด ๆ กับแบรนด์นี้แน่ ๆ คือภาพของความอบอุ่นในการใช้งาน รวมถึงความปลอดภัยที่ใช้เป็นสโลแกนได้เลยว่า “Volvo for life” อีกสิ่งที่ผมคิดถึงเสมอกับรถแบรนด์นี้ คือรถแนวห้าประตูแบบทรงยาว ที่เรียกว่า “สเตชั่นแวกอน” หรือถ้าเล่นคำหน่อยก็ “เอสเตท” สำหรับหมวด V ใน Volvo คือตัวถังสเตชั่นแวกอนนี่แหละครับ ในสังคมที่รถยนต์สามรรถบอกตัวตนของผู้ใช้งานได้ การขับรถแนวนี้ มักมาด้วยภาพของคนรักครอบครัว หรือติดตลกหน่อยก็คือ ผู้ชายคนไหนขับ อาจโดนแซวว่า “เอารถเมียมาใช้เหรอ” แต่เช่นเดิมครับ ยุตที่งานออกแบบรถยนต์สวยงาม ลบภาพเก่า ๆ ของบุคลิกกันได้ Volvo ก็คือหนึ่งในแบรนด์ที่ทำรถทรงสเตชั่นแวกอนได้สวย น่าใช้งานที่สุดอีกเจ้า

สำหรับประเทศไทย หลังจากทำตลาดด้วย V90 ล็อตเล็ก ๆ ไปได้สวย V60 ที่ถือเป็นรุ่นย่อมลงมา ก็มาถึงไทยเรียบร้อย ด้วยขนาดรถที่ประมาณ BMW 3 Series / Mercedes Benz C-Class ทำให้ V60 เรียกว่ากำลังดีกับการใช้งานทุกวันได้ ยิ่งกับยุคใหม่ที่เป็นเครื่อง 2.0 ลืตร เทอร์โบ รวมพลังกับมอเตอร์ไฟฟ้า T8 ขับเคลื่อนสี่ล้อ มีม้าให้เล่น 407 ม้า เครื่องตระกูลนี้ ทำให้ภายใต้รูปร่างรถที่แอบเรียบร้อยผู้ดี แต่ถ้าจะเอาเรื่องบนถนนก็จัดให้ได้ พิสูจน์ได้จากคนที่ขับ XC90 / S90 ที่ใช้เครื่องใหม่นี้ได้ ว่านิสัยเหมือนคนใจเย็นที่ห้ามให้โมโห V60 ยังคงงานออกแบบหลัก ๆ ของ Volvo ยุคใหม่ ไม่ว่าจะไฟหน้าทรงค้อนธอร์ จอกลางในห้องโดยสารใหญ่ ๆ ควบคุมการใช้งานในรถ รองรับ Apple CarPlay หัวเกียร์สวย ๆ ทรงกำลังดี เครื่องเสียง Bowers & Wilkins ห้องโดยสารที่หนังดี (แต่เลอะง่าย) และอัดความปลอดภัยเต็มพิกัดแบบ Volvo ยุคใหม่ที่คุ้นเคย

ทั้งหมดนี้ในราคาที่คู่แข่งสายตรงฝั่งเยอรมันคงต้องขยี้ตาเบา ๆ ในรุ่น Momemtum ราคา 2.29 ล้านบาท รุ่น Inscription ราคา 2.69 ล้านบาท รถหน้าตาดี ของเพียง ศูนย์บริการอาจต้องให้เวลาพิสูจน์กันต่อไป แต่ถ้าผมมีเงินสามล้าน ใจผมสั่นระรัวให้กับรถยืมเมียมาใช้ที่ดูดีแบบนี้ครับ
BMW X3M/X4M

ผลบุญของภาษีสรรพสามิตที่เก็บตาม “คาร์บอนฯ ที่ปล่อยจากท่อไอเสีย” โดยเลิกเก็บภาษีตามแรงม้าของเครื่อง ทำให้รถยนต์น่าเร้าใจทั้งหลาย ได้มาขายกันในประเทศไทยมากขึ้น หนึ่งในรถขวัญใจบ้านคนมีเงินอย่าง BMW X3 กับ X4 ที่สามารถหาได้ในถนนเมืองหลวง หัวเมืองใหญ่ในหลายจังหวัด ก็ได้เวลาสวมบทโหดให้ตลาด กับรุ่นสำหรับพ่อบ้าน แม่บ้าน ที่เท้าหนักพิเศษอย่าง X3M / X4M รถ SAV ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ 3.0 ลิตร หกสูบเรียง เทอร์โบคู่ ทำแรงม้าได้ 480 ม้า กดคันเร่งจาก 0-100 แค่ 4.2 วินาที พร้อมการปรับแต่งทั้งหมดจาก M Division หน่วยทำรถแรงจริงของ BMW

พ่อบ้านท่านไหนที่อยากได้รถสปอร์ตมาขับ แต่ด้วยอายุ สถานภาพชีวิต ครอบครัว หรือชีวิตคู่ที่กุมด้วยกงสีในรูปแบบภรรยา ฯลฯ ใจมันเรียกร้องความแรง แต่ถ้าซื้อรถอย่าง M4 / M8 คงโดนตระกูลตัดจากกองมรดกหรือเมียให้เงินใช้วันละ 1,000 แทนเอาได้นั้น นี่คือโอกาสอันดีที่จะได้มีรถ M แท้ ๆ แต่ตอบสนองชีวิตทุกด้านได้ ในราคา 7.99 ล้าน เท่ากันทั้งสองรุ่น
Nissan GT-R 50th Anniversary

ถ้าให้ผมบอกเหตุผลที่ผมชอบรถยนต์ Nissan GT-R คือเหตุผลง่าย ๆ ที่ผมจะใช้ตอบออกไป รถคันนี้คือตัวแทนของความฝันเด็กผู้ชายที่คลั่งไคล้รถยนต์ทุกคน ไม่ว่าจะรู้จักรถคันนี้เพราะติดตามเรื่องรถ หรือจะเพราะดูช็อตที่ยิงไนตรัสโดดข้ามสะพานใน 2Fast 2Furious จนทำให้รถรุ่นนี้ กลายเป็นสัญลักษณ์ของหนังตระกูลนี้ หรือจะอย่างที่ผมติดตาติดใจที่สุดกับ Initial D ที่ R32 กับ R34 เป็นตัวละครสำคัญในการ์ตูน แต่สิ่งสำคัญที่สุดของรถรุ่นนี้ คือความภูมิใจของค่ายรถจากเอเชีย ที่สามารถทำรถสมรรถนะสูง เป็นคู่รักคู่แค้นกับ Porsche 911 Turbo มาได้โดยตลอด สำหรับ R35 ที่ทำตลาดอยู่ตอนนี้ เรียกว่าเป็นคนหนุ่มมีอายุที่ยังสามารถสู้กับเด็กรุ่นใหม่ได้อยู่ อาจไม่ได้โหดเท่าสมัยออกใหม่ ๆ แต่รถแรงรุ่นใหม่ ๆ ก็ไม่ควรประมาทในสิ่งที่ Nissan GT-R ทำได้เช่นกัน และในปี 2019 ถือเป็นปีที่ 50 ที่โลกนี้มี Nissan GT-R จากรถบ้านรุ่นแรงสุด สู่รถสปอร์ตเต็มตัว และถ้าจะให้ผมพิมพ์สิ่งที่ผมจำได้เกี่ยวกับรถคันนี้ ผมคงต้องพิมพ์ยาวกว่านี้อีกพอสมควร

Nissan ประเทศไทย นำเข้ารุ่นพิเศษฉลองปีที่ 50 ของ GT-R ด้วยการตกแต่งพิเศษ โดยเฉพาะสีน้ำเงินที่ได้แรงบันดาลใจจากสีน้ำเงิน Bayside Blue ที่ของ Nissan Skyline GT-R (R34) พร้อมห้องโดยสารที่ใช้หนังโทนสีพิเศษ ในขณะที่ราคาขายก็ลดลงจาก 13 ล้าน เหลือแค่ 11.3 ล้านบาท เรียกว่าเป็นรถที่คนรักคน ควรมีในโรงรถเพื่อการสะสมได้เลย
Toyota GR Supra


Toyota ประเทศไทย นำเข้ามาขายในราคาล็อตแรก เป็นราคาพิเศษที่ 4.99 ล้านบาท ราคาเท่ากับ Z4 รหัส M40i (เครื่องเดียวกันด้วย) ซึ่งรถคันจริง หลังจากได้ลองเข้า ๆ ออก ๆ ถ้ามองด้วยเปลือก มันอาจเป็นแค่ BMW ที่ติดตรา Toyota แต่ถ้ามองรวม ๆ แบบไม่อคติ จะเห็นหลายสิ่งที่มีความเป็น Toyota และถ้าคันก่อนหน้าคือรถที่ออกมานานแล้ว แรงอะใช่ แต่ไม่ได้ต้องการความโหด ดึงหลังติดเบาะแทบจะทุกเวลาขนาดนั้น เงิน 5 ล้าน ก็ทำให้ชีวิตสัมผัสความสปอร์ตเต็มขั้นได้แน่นอนครับ
All New Nissan Almera

รถที่ผมพิมพ์ถึงไปก่อนหน้าเนี่ย สารภาพตรง ๆ เลยว่า ตอนนี้ผมก็ไม่มีปัญญาจะซื้อหรอกครับ แต่รถที่พิมพ์มาก่อนหน้าทั้งหมดนี้ ผมเชื่อตัวเองว่า ไม่กี่ปีจากนี้ ผมจะได้เป็นเจ้าของแบบสบาย ๆ แน่นอน กลับมาว่ากันที่รถที่เรียกแขกเข้างานนี้ได้ดีมากคันแรกกัน นั่นคือรุ่นใหม่ของ Eco Car Phase 2 จาก Nissan กับรถสี่ประตูขวัญใจคนอยากมีรถขับ Nissan Almera หลังจากที่รุ่นแรกทำตลาดมาเกือบ 10 ปี ใช่ครับ ขายนานมาก รุ่นใหม่ของ Almera ให้พิมพ์แบบไม่เกรงใจก็คือ ถ้าใช้รุ่นเดิมอยู่ เห็นรุ่นใหม่แอบมีเสียใจ ไม่ว่าจะหน้าตา ข้าวของ สิ่งต่าง ๆ ที่ให้มาในรถ ดูดีจนคิดว่า รุ่นที่แล้วเป็นลูกที่พ่อแม่ไม่รัก เครื่องยนต์ที่หายอืด จะวิ่ง จะเร่ง ไม่หวาดเสียวอีกต่อไป และไม้เด็ดคือราคาขายที่เปิดตัวมาปุ๊ป เสียงสรรเสริญเต็มโลกออนไลน์ และในวันเปิดตัวนั้น ผมได้ลองขับคร่าว ๆ ในสถานที่ปิดที่ทาง Nissan จัดไว้ ตัวรถให้กำลังเครื่องที่ชัดเจนเลยว่า กระฉับกระเฉงมาก มีกำลัง มีความมั่นใจ มีตัวรถรวม ๆ ที่ยกระดับทุกด้าน แบบที่ถ้าให้ซื้อ Almera โฉมเก่าที่ลดราคาแบบสุด ๆ ก็ไม่ควรซื้อจริง ๆ

คุณงามความดีน่าสนใจระดับกอบกู้ยอดขายของ Nissan โดยรวมในตอนนี้ ที่อาการไม่ดีได้แน่ ๆ ไม่เชื่อลองไปงานดูได้ครับ บูธของ Nissan แน่นแบบไม่ได้เห็นภาพแบบนี้มานานมากแล้ว ยังไงก็ ขายดีแล้วก็ใช้โอกาสนี้ สร้างความรักให้ลูกค้าที่ซื้อไป เพื่อให้อนาคต เค้ากลับมาซื้อรุ่นที่ใหญ่กว่าของแบรนด์นะครับ : )
Mazda 2

ถ้าให้พูดถึงรถคันเล็ก ที่ขายดีชนะใจวัยรุ่น ชนะใจคนมีรถคันแรก (ถึงราคาจะค่อนข้างแรงใช้ได้) รวมถึงทำให้ตำราการขายรถของไทย ยังสามารถพูดได้เต็มปากว่า รถที่คนไทยจะเลือกซื้อ คือรถที่ “สวย” Mazda 2 คือตัวแทนคำตอบนั้นจริง ๆ รุ่นที่ทำตลาดอยู่ ขายมา 5 ปีแล้ว ถ้าเป็นอายุของรถญี่ปุ่นทั่วไป ช่วงปีที่ 3 ต้องจับแต่งหน้าทาปาก เพื่อกระตุ้นยอดขายแล้ว แต่ Mazda 2 แค่ปรับอุปกรณ์ให้สดขึ้นทุกปี โดยที่หน้าตารถยังเรียกแขกให้ซื้อได้มาโดยตลอด แต่ในเมื่อชาวบ้านออกรุ่นใหม่ถอดด้าม แถมหน้าตาดีระดับมาประกวดด้วยได้ Mazda 2 เลยขอเปลี่ยนจาก “วัยรุ่นเสื้อผ้าสยาม” เป็น “วัยรุ่นใส่แบรนด์เนม” นั่นคือหน้าตารถมีการปรับให้ดูผู้ใหญ่ขึ้น แต่เก็บบุคลิกหลัก ๆ ที่ทำให้ทุกคนยังมองว่า Mazda 2 ดูสูงกว่าระดับของรถที่ขายอยู่ และเพิ่มเติมด้วย Options ที่ทำให้สู้คู่แข่งได้มากขึ้น ในราคาที่ปรับแค่ 7,000 – 20,000 บาท เท่านั้น

ถ้าสิ่งเดียวที่จะทำให้ Mazda 2 ไม่น่าซื้อในตอนนี้ ก็คงเป็นเรื่องบริการหลังการขาย ปัญหาของเครื่องดีเซล ที่ทั้งหมดนี้ ยังรอให้ Mazda ไล่เก็บทุกอย่างให้เข้าที่เข้าทางต่อไป
Honda City

ถ้าบูธ Nissan ว่าคนเยอะแล้ว ที่คนเยอะแทบจะไม่ต่างกัน ก็คงต้องยกให้ Honda ที่ไม่นานมานี้ ผมก็ไปเจอหน้า Jazz ใหม่ที่ญี่ปุ่นมาแล้ว แต่ที่ไทยนั้น…อนาคตยังคลุมเครือว่าไม่ขายรุ่นใหม่แล้ว? แต่นั้นก็คือเรื่องของอนาคต ปัจจุบันที่ร้อนแรงของ Honda ก็คงต้อง City ใหม่ แต่ความร้อนแรงนั้น แอบสวนทางกับ Almera ไปเล็กน้อย หน้าตารถรวม ๆ ออกแนวไม่รักก็เกลียดไปเลย ห้องโดยสารยิ่งแล้วใหญ่ ถ้าโอเค ก็ไม่โอเคไปเลย คันจริงที่ผมได้เห็นรวม ๆ ถ้าเป็นรุ่น S / SV ที่แต่งมาในแนวหรูหน่อย ดูแล้วน่าจะขายดีสุด ในขณะที่รุ่น RS คือรุ่นที่ดูแล้ว ถ้าซื้อไปต่อยอดสักหน่อย ก็เป็นรถที่หล่อได้ไม่ยาก ห้องโดยสารโดยรวม อาจไม่ตื่นตาตื่นใจ แต่ภาพรวมของงานประกอบ วัสดุที่ใช้ ไม่ได้แย่อย่างที่เห็นในภาพ แค่โทนสี การทำผิวสัมผัสต่าง ๆ มันอาจไม่ดูดีเท่าที่ควรจะเป็นไปหน่อย เบาะหลังก็ยังเป็นจุดที่ผมชอบมาตั้งแต่ City รุ่นที่ 3 เพียงแต่ที่วางขา ยังไม่ได้กว้างสะใจเท่าคู่แข่งเจ้าอื่นนัก แต่อย่างน้อย มูลค่าของรถคันนี้ทั้งหมด ไปตกอยู่ที่เครื่องยนต์ใหม่ 1.0 Turbo ที่ให้ประสิทธิภาพเท่าเครื่อง 1.5 เดิม ดูแล้วเครื่องใหม่นี้ น่าจะแพงจนเป็นต้นทุนหลักของรถคันนี้เช่นกัน

เอาเป็นว่า ถ้าไม่ชอบสิ่งที่เห็นใน City ใหม่นี้ ก็คงโทษอะไรไม่ได้นอกจากแม่งานออกแบบที่ต้องอิงตลาดอินเดีย เพราะมองไปที่ Civic / Accord / CR-V ที่เป็นรถที่ออกมาในระยะไล่เลี่ยแล้ว แม่งานออกแบบอเมริกา เทียบกับอินเดีย คงพอบอกอะไรไม่มากก็น้อย แต่สัญญาณที่ดีอย่างหนึ่งที่เห็นจาก City คือ รถคันนี้ Options ต่าง ๆ อาจไม่ได้ถล่มเท่าคู่แข่ง ซึ่ง Honda ทุกรุ่นในโฉมที่ผ่านมา อัดของเล่นในรถจนเบียดเบียนความทนทานของงานวิศวกรรมไปสักหน่อย ถ้า Honda ยุคนี้จะเอาต้นทุนไปใส่ในสิ่งที่ลูกค้ามองไม่เห็น แต่ทำให้รถออกมาดีขึ้น ทนทานไว้ใจได้มากขึ้น ก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีอยู่ หลังจากนี้ คงต้องมาดูกันว่า City ใหม่นี้ จะขับดีไหม

อ้อ….นอกจากนี้ยังมี Civic Hatchback ที่ถึงคิวปรับโฉมเล็กน้อยเพราะขายมาถึงกลางอายุแล้ว น่าซื้อขึ้นมาก เพราะอุปกรณ์ติดรถ เทียบเท่ากับ 1.5 Turbo RS ตัวถังซีดาน พร้อมสีเทานมที่สวยมากจอดอยู่
ก็….ทั้งหมดนี้รถที่ผมชอบในงาน Motor Expo 2019 จริง ๆ ยังมีอีกหลายคันที่ผมชอบเหมือนกัน แต่เอาเท่าที่พิมพ์มานี้ ดูหมดแล้ว ไปเดินเล่นรอบงานต่อ ก็จะพบคันที่คุณผู้อ่านชอบเพิ่มขึ้นเองได้ไม่ยากเช่นกันครับ งานจะมีถึงวันที่ 10 ธันวาคมนี้ ที่ Impact Challenger Hall เมืองทองธานี
แล้วพบกันใหม่ปี 2020 ครับ : )