ข่าวสั้น

Huawei เปิดตัว P40 Series “เริ่มไม่แน่ใจว่า นี่คือกล้องที่โทรได้ หรือโทรศัพท์ที่ถ่ายรูปได้?”

มาตามนัดเรียบร้อยกับ “กล้องติดมือถือที่โหดที่สุดรุ่นหนึ่งของตลาด” กับความสำเร็จจาก P9 / P10 / P20 / P30 ทุกรุ่นมีพัฒนาการของการทำให้กล้องของ Smartphone เก็บภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว ให้ดีจนเป็นความทรงจำถาวรของผู้ใช้ได้ ไม่ว่าจะเรื่องพัฒนาการทางความร่วมมือกับ Leica / AI ช่วยถ่าย ไปจนถึงการผสานกับการพัฒนาตัวกล้อง ที่พยายามย่อส่วนจากกล้องดิจิตอลชั้นดีลงมาให้ได้ ปี 2020 รุ่นล่าสุดของ P Series ก็พร้อมแล้ว กับการนำ 20+20 เป็น P40 Series โดยปีนี้มีรุ่นย่อย 3 รุ่น ได้แก่ P40 / P40 Pro และรุ่นท็อปใหม่ P40 Pro+

งานออกแบบ สีสัน ต้องเป็นเอกลักษณ์

จุดขายแรกของ P40 Series คือตัวเครื่องที่เน้นความสวยงาม รายละเอียด การนำเสนอผิวสัมผัส สีสันของเครื่อง อันเป็นการสานต่อความสำเร็จจากที่ P20 Series เคยสร้างไว้ ในรุ่นใหม่นี้ ทรวดทรงหลังคือการนำ P30 Series มาปรับให้หน้าจอทั้งหมด เป็นแบบ Quad-Curve Display (จอ Edge ทั้งสี่ด้าน) เพื่อให้การแตะแบบลาก ไม่รู้สึกว่านิ้วลากสะดุดกับของเครื่อง (ยกเว้น P40 ที่เป็นกระจกจอ 2.5D ปกติ) หน้าจอเป็น Flex OLED ขนาด 6.58 นิ้ว 2,640×1,200 441ppi (P40 จอขนาด 6.1 นิ้ว) รองรับการแสดงผลลื่นไหลที่ 90Hz แสดงผลสีระดับ DCI-P3 HDR ตัดแสงสีฟ้าได้มากถึง 30% พร้อมขอบจอที่เล็กลงกว่า P30 Series โดยตำแหน่งกล้องหน้า ใช้ทรงเดียวกับ Samsung Galaxy S10+

ด้านหลังเครื่องเป็นกระจกขัดเงาแบบเดียวกับ P30 Series (เฉพาะ P40 Pro+ เป็นเซรามิกแบบ Nano-Tech) ตีโค้งให้รับกับส่วนหนาของกล้องถ่ายรูป โดยตัวกล้องใช้วัสดุที่แข็งแรงกว่า Sapphire เป็นกระจกครอบตัวกล้อง และตัวเครื่องสีดำ Black กับขาวเงิน Silver Frost จะขัดด้านหลังให้เป็นผิวด้าน ได้ทั้งความสวยงาม ป้องกันรอยนิ้วมือขณะจับถือ ในส่วนสีสันตัวเครื่อง ปีนี้มาเป็นสีโทนเดียวที่ชัดเจน โดยแต่ละรุ่นมีสีให้เลือกดังนี้

  • P40 กับ P40 Pro : Black / Deep Sea Blue / Ice White / Silver Frost / Blush Gold
  • P40 Pro+ : Ceramic Black / Ceramic White

ทั้งหมดนี้ ตัวเครื่องหนักที่ 175g (P40) / 209g (P40 Pro) / 226g (P40 Pro+) รองรับการกันน้ำกันฝุ่นที่มาตราฐาน IP68 (P40 รองรับที่ IP53)

กล้องเหมือนไม่โหด ที่โหดคือ AI ถ่ายรูป

P40 Series ชูความเป็น 24HR Super Definition นั่นคือ จะถ่ายสภาพแสงไหน เวลาไหนก็ต้องสวย ไม่ว่าจะ Low light ที่เห็นได้ครบถ้วน Night Mode ที่สว่างกว่า แต่ใช้เวลาถ่ายน้อยกว่า โหมด Portait ทุกสภาพแสงที่พึ่งพาได้ โดยแต่ละรุ่น มีจำนวนเลนส์ หน้าที่ของเลนส์ดังนี้

P40 : Optical Telephoto 3X (8MP f/2.4 OIS) / Ultra Vision Wide (50MP RYYB 23mm / f1.9) / Ultra Wide (16MP 17mm / f2.2) / Colour Temperature Sensor (8 Colour Channels)

P40 Pro : Ultra Wide Cine (40MP 18mm / f1.8) / Ultra Vision Wide (50MP RYYB 23mm / f1.9 OIS) / Optical Telephoto 5X (12MP RYYB Periscope 125mm f/3.4 OIS) / Colour Temperature Sensor (8 Colour Channels) / ToF Camera (Depth)

P40 Pro+ : Ultra Wide Cine (40MP 18mm / f1.8) / Ultra Vision Wide (50MP RYYB 23mm / f1.9 OIS) / Optical Long-range Telephoto 10X (8MP Periscope 240mm f/4.4 OIS)+Optical Mid-range Telephoto 3x (8MP 80mm f2.4 OIS) / Colour Temperature Sensor (8 Colour Channels) / ToF Camera (Depth)

จัดโหดอย่างแรกคือตัวรับภาพที่ใหญ่ที่สุดในกล้องของ Smartphone ทั้งสามรุ่นใช้ตัวรับภาพใหญ่ถึง 1/1.28 นิ้ว ใหญ่กว่า Galaxy S20 Ultra รวมถึง P30 Pro และฉีก iPhone 11 Pro ถึง 200% ในแง่ความใหญ่ของตัวรับภาพ รวมถึง Pixel Size ที่ 2.44 รองรับ ISO สูงสุดถึง 409,600 (P40 รองรับที่ 204,800)

จัดโหดอย่างต่อมา คือ XD Fusion Image Engine การทำงานคือ กล้องแต่ละตัวของเครื่อง จะถ่ายรูปแบบ RAW หน่วยประมวลผลจะแยกส่วนมาเลือกว่า องค์ประกอบของภาพชิ้นไหนที่ดีที่สุดบ้าง แล้วเอาองค์ประกอบที่ดีทั้งหมดในแต่ละส่วน จับประกอบร่างออกมาเป็นภาพ ๆ เดียว โดยกระบวณการทั้งหมด เกิดขึ้นเพียงแค่ลั่นชัตเตอร์

มาถึงการ Zoom บ้าง ใน P40 Series ปรับการรับแสงให้ได้มากขึ้นเป็นหลัก โดย P40 รองรับ 3x Optical ส่วน P40 Pro รองรับ 5x Optical สูงสุด 50x แต่เก็บแสงได้ดีมากขึ้นด้วยเซ็นเซอร์แบบ RYYB ส่วนตัวชูโรง P40 Pro+ จะรองรับ Optical Zoom ได้สองระยะสูงสุดที่ 10x พร้อมระบบกันสั่นในเลนส์ Zoom และในเลนส์ชุดนี้ ยังยิงได้ไกลสุดที่ 100x ทำให้การถ่ายระยะ Zoom ทั้งหมด เก็บรายละเอียดได้คมชัด ครบถ้วนมากขึ้น รวมถึงระบบกันสั่น ช่วยให้การซูมแบบไกล ๆ ลดการสั่นไหวจากการถือด้วยมือ ถ่ายได้ง่ายขึ้น และยังมีโหมดพระจันทร์ให้ถ่ายเล่นกันเหมือนเดิม

จุดขายโหดสุดของกล้องรอบนี้ ขอยกให้กับ AI ที่พัฒนามาล่าสุด ทีเรียกรวม ๆ ว่า Golden Snap เริ่มที่ AI Best Moment ระบบที่มีรูปก่อนกดชัตเตอร์และหลังกดชัตเตอร์ โดย AI จะบันทึกภาพก่อนและหลัง แล้วเอามาแนะนำเราว่า มีรูปช็อตที่ดีกว่าตอนเราถ่ายให้เลือก ซึ่งเหมาะมากกับการถ่ายรูปบางเหตุการณ์ที่กระทันหัน ไม่ได้เตรียมมาก่อน หรือต่อให้เตรียมมาก่อน แต่อาจได้ช็อตที่สวยกว่าแทนก็ได้

อย่างต่อมาคือ AI Remove Passersby การทำงานคือ เวลาถ่ายรูปแล้ว มีคนอยู่ในเฟรม มีสิ่งที่เราไม่อยากได้ติดภาพมาด้วย หรือที่เรียกกันในภาษาคนถ่ายรูปว่า “Object ขยะ” AI Remove Passersby สามารถลบสิ่งที่ไม่พึ่งปราถนาในภาพออกได้ ไม่ต้องวุ่นวายกับโปรแกรมแต่งภาพต่าง ๆ ต่อมาคือ AI Remove Reflection การทำงานคือ เวลาถ่ายรูปผ่านกระจก เราจะได้ภาพถ่าย แต่มันจะมีเงาของเราที่ถือกล้อง ติดในภาพด้วย ระบบสามารถลบเงาที่เราสะท้อนในภาพออกได้ เหลือแค่ภาพสวย ๆ ที่เราอยากได้ เสมือนเราเอามือลอดกระจกเข้าไปถ่าย

กล้องหลังเยอะแล้ว มาที่กล้องหน้ากันบ้าง กล้องหน้าของ P40 Series ทุกรุ่น เป็นกล้องหน้าความละเอียด 32MP f2.2 มี IR Depth / Gesture Camera รองรับปลดล็อคด้วยใบหน้าแบบ 3D ไม่ดับหน้าจอ ถ้าจับได้ว่ากำลังมองจออยู่ กับควบคุมมือถือด้วยท่าทางมือผ่านอากาศ กล้องหน้ารองรับการถ่ายวีดีโอ 4K ถ่าย Selfie แบบหน้าชัดหลังละลาย

กลับมาที่การถ่ายวีดีโอ P40 Pro / P40 Pro+ มีตัวรับภาพถ่ายวีดีโอได้กว้าง ด้วยขนาดตัวรับที่ 1/1.54 ความละเอียดสูงสุด 4K 60fps รับ ISO สูงสุด 51,200ถ่ายแบบไกลด้วย Telephoto พร้อมระบบขยายเสียงเมื่อซูมถ่ายเข้าไป ถ่าย Time Lapse 4K HDR+ ทำ Slo-mo สูงสุด 7,680 fps มีกันสั่นแบบคู่ OIS+AIS และถ่ายหน้าชัดหลังละลายแบบ Realtime เหมือน Mate 30 Pro ได้

ไหน ๆ กล้องจัดเต็มแล้ว Huawei ออกอุปกรณ์เสริมเป็น ไฟเกรดสตูดิโอ ทำร่วมกับ Profoto ฉบับพกพาได้ ควบคุมผ่านมือถือ ใส่ฟิลเตอร์สีเข้าไป ใช้งานได้ทั้งกับภาพนิ่งและวีดีโอ โดยขนาดกำลังดี พกพาง่าย

และส่งท้ายด้วยการประกวดถ่ายภาพในโครงการ Next-image awards 2020 ส่งผลงานได้ตั้งแต่ 8 เมษายน ถึง 31 กรกฎาคม 2020 นี้

เครื่องแรง โหลดไว และครบแบบรุ่นล่าสุด

ขุมพลังของ P40 Series ใช้ Kirin 990 5G ที่แรงกว่าเดิม 23% ใช้งานกราฟฟิคดีขึ้น 39% แต่ประหยัดพลังงานขึ้น 23% และ 32% ในเรื่องกราฟฟิค ใช้งาน Android 10 ที่ครอบทับด้วย EMUI 10.1 (พื้นฐานบน HMS Service ยังไม่ใช่ Google Mobile Service) ความสามารถคร่าว ๆ ได้แก่

  • Themes ที่สวย รับกับหน้าตาเมนูมากขึ้น การแสดงผลองค์ประกอบธีมแบบสามมิติ (Vibrant AOD) การตอบสนองเมนู ที่เน้นความสมจริงให้ตอบสนองมากขึ้น
  • ผู้ช่วยแบบคำสั่งเสียงชื่อ Celia
  • รองรับ Multi Windows
  • Huawei MeeTime ระบบ Video Call ระหว่างเครื่อง Huawei
  • Huawei Share ส่งไฟล์ข้ามเครื่องระหว่างอุปกรณ์ Huawei แบบไร้สาย

รองรับ 5G แบบ All in One SoC ใช้งานได้ 2 SIM แบบ Nano SIM โดยซิมที่ 2 เลือกว่าจะใช้เป็นการ์ดความจำแบบ NM หรือซิมการ์ดที่ 2 รองรับ eSIM ในตัว โดยทุกซิมการ์ด ใช้งาน 5G ได้ รองรับ Wi-Fi 6 Plus มีระบบสแกนลายนิ้วมือใต้จอที่ทำงานไวกว่ารุ่นเดิม 30%

แบตเตอรี่ของ P40 ให้ความจุ 3880 mAh ส่วน P40 Pro / P40 Pro+ ชาร์จไฟได้เร็วด้วยที่ชาร์จ 40W หรือจะชาร์จด้วยที่ชาร์จไร้สายความเร็วสูงสุด 40W (รองรับกับ P40 Pro+) และทุกรุ่นรองรับ Wireless Reverse Charge

ราคาและการวางจำหน่าย

สำหรับราคาและการวางจำหน่าย P40 Series จะมีดังนี้

P40 ขาย RAM 8GB ความจุ 128GB ราคา 799 Euro (ประมาณ 28,800 บาท) ขาย 7 เมษายนนี้

P40 Pro ขาย RAM 8GB ความจุ 256GB ราคา 999 Euro (ประมาณ 36,000 บาท) ขาย 7 เมษายนนี้

P40 Pro Plus ขาย RAM 8GB ความจุ 512GB ราคา 1,399 Euro (ประมาณ 50,300 บาท) วางขายมิถุนายน

และ Huawei มีเคสที่ทำมาขายได้แก่ เคสคริสตัลแนวเดียวกับที่แถม P30 Pro สีส้มที่คุ้นเคย / เคสลาย Momogram มีให้เลือก 6 เฉด / เคสเล่นเกม / เคสกันน้ำลึก 10 เมตร สำหรับถ่ายในน้ำ

กำหนดการขาย ราคา ในประเทศไทย รอทาง Huawei Consumer ประเทศไทยแจ้งในภายหลัง แต่ที่แน่ ๆ AIS กับ TrueMove H ชิงโปรโมทแล้วว่า “รองรับ 5G แน่นอน”

คณะแกดกวน #teamgadguan

ดลกุล เนตรรัตนากุล (zipboy)

ชื่อเต๋า อายุหลัก 3 ชอบของเล่นไฮเทคทั้งหลาย แต่ไม่ค่อยจะได้เล่น ต้องไปยืมชาวบ้านมาลอง เป็นกรรมกรประจำ #TeamGadGuan รักที่จะเขียน และรักคนอ่านครับ^^