เปิดตัวไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับ iPad รุ่นใหม่ล่าสุด ฉลองครบรอบ 10 ปี iPad กับการ Redesign “iPad Air” ใหม่ยกเครื่อง ตั้งแต่หัวจรดท้าย ด้วยดีไซน์ที่ยก iPad Pro มาทั้งหมด บวกกับความสดใสจับกลุ่มคนรุ่นใหม่ และพลังในการทำงานที่เหนือกว่ารุ่นเดิมอย่างเห็นได้ชัดจนคนใช้ iPad Pro รุ่นต้นปีอาจต้องร้องซี๊ดกันเลยทีเดียว
ดีไซน์ใหม่หมดจดแบบ "All Screen Design"
iPad Air รุ่นใหม่ มาพร้อมกับดีไซน์เต็มจอแบบ iPad Pro ที่ Apple เรียกว่า “All Screen Design” ด้านหน้าทั้งหมด คือหน้าจอ Liquid Retina Display ขนาดใหญ่ 10.9 นิ้ว ตัวหน้าจอรองรับการแสดงผลแบบ DCI-P3 และมีฟีเจอร์ TrueTone Display แบบเดียวกับ iPad Pro หน้าจอนี้ยังรองรับการขีดเขียนด้วย Apple Pencil 2 ที่ให้ความลื่นไหลไม่แพ้ iPad Pro แม้แต่น้อย
ตัวเครื่องยังมาพร้อมกับอลูมิเนียมซีรีส์ 7000 ที่ผ่านกระบวนการรีไซเคิลเต็มรูปแบบ 100% และนี่ยังเป็นครั้งแรกของ iPad ดีไซน์นี้ที่มีตัวเลือกสีให้เลือกมากกว่า 2 สี นอกจากสีเทาสเปซเกรย์และสีเงิน นั่นคือสีใหม่ทั้งสามสีได้แก่ สีโรสโกลด์ สีเขียว และสีสกายบลู ซึ่งเป็นสีไฮไลต์ของ Apple ในปีนี้
TouchID โฉมใหม่ที่หาไม่ยาก
เห็นใช้หน้าจอเต็มแบบนี้ แต่ iPad Air รุ่นนี้ไม่ได้ให้กล้อง TrueDepth Camera แบบ iPad Pro แต่อย่างใด ถ้าคำถามคือแล้ว Apple มีตัวยืนยันบุคคลแบบใดมาให้ใช้งาน? คำตอบก็ง่าย ๆ iPad Air ตัวนี้มากับ “TouchID” เหมือนเดิม!
TouchID ของ iPad Air รุ่นนี้ ย้ายตำแหน่งไปอยู่ที่ปุ่ม Power แบบเดียวกับบน MacBook Pro โดยตัวปุ่มจะมีผิวสัมผัสแบบเดียวกับปุ่ม Home ที่คุ้นเคย และมีเซ็นเซอร์ที่ได้รับการออกแบบใหม่ให้มีขนาดเล็กลงตามตำแหน่งปุ่มที่เปลี่ยนไป แต่ที่ไม่ได้เปลี่ยนไปก็คือกระบวนการตรวจสอบ ยังคงทำผ่าน Secure Enclave ผ่านชิป Apple A Series เหมือนเดิม ดังนั้นมั่นใจได้ว่าต่อให้ปุ่มเปลี่ยนรูปร่างไป ความปลอดภัยก็ยังคงหนาแน่นเช่นเดิม
แรงจัดด้วย "A14 Bionic"
ชิปประมวลผลหลักที่ใช้ใน iPad Air รุ่นนี้ เป็นชิปใหม่ล่าสุดกับ “A14 Bionic” โดย Apple ระบุว่ามีประสิทธิภาพในการทำงานได้รวดเร็วกว่า iPad Air รุ่นเดิมถึง 40% ประสิทธิภาพในการเรนเดอร์กราฟิกสามมิติ ทำได้ดีกว่าถึง 30% และยังประมวลผล AR และงาน ML ได้ดีกว่าเดิมแบบเห็นได้ชัดด้วยคอร์ Neural Engine ที่มากถึง 16 คอร์
รายละเอียดซีพียู Apple ไม่ได้กล่าวถึงมากนัก เพราะซีพียูตัวนี้ถูกออกแบบมาใช้กับ iPhone รุ่นถัดไป ฉะนั้นจึงยังไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่ามันสามารถทำงานได้เร็วเท่าใด เพียงแต่ Apple อ้างว่า แอปพลิเคชันต่าง ๆ ที่ต้องใช้การประมวลผลแบบซับซ้อน เช่น djay pro AI รวมถึงการถ่ายภาพ ถ่ายวิดีโอความละเอียด 4K จะสามารถทำงานได้ดีกว่าเดิมอย่างชัดเจนบน iPad Air รุ่นนี้
สนุกได้มากกว่า ด้วยลำโพงคู่ และกล้องความละเอียดสูง
iPad Air รุ่นใหม่นี้ยังมาพร้อมกับลำโพงคู่แบบสเตอริโอเมื่อใช้งานเครื่องในโหมดแนวนอน รวมถึงยังมาพร้อมกับกล้องความละเอียดสูงถึง 12 ล้านพิกเซล พร้อมฟีเจอร์ Pixel Focus แบบเดียวกับ iPad Pro จึงช่วยให้ iPad Air สามารถเติมเต็มในทุกความบันเทิงได้อย่างเต็มที่ ทั้งภาพยนตร์ เพลง และเกมแบบ AR
อิสระมากกว่า ด้วยอุปกรณ์เสริมชั้นนำ
ด้วยดีไซน์ของ iPad Air รุ่นนี้ที่ไปเหมือนกับ iPad Pro ทั้งหมด ทำให้ iPad Air รุ่นนี้ สามารถใช้งานอุปกรณ์เสริมของ iPad Pro ได้ครบทั้งหมด ไม่มีขาดตกบกพร่อง และด้วยการเชื่อมต่อผ่านสาย USB-C ที่นอกจากช่วยให้การโอนถ่ายไฟล์ความเร็วสูงทำได้อย่างราบรื่นแล้ว ยังรองรับการต่อพ่วงกับอุปกรณ์อื่น ๆ อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น กล้องดิจิทัล กล้องวิดีโอ หรืออุปกรณ์เสริมที่เป็น USB-C ก็สามารถใช้งานได้ทั้งหมดเลยทีเดียว
iPad 8 กับการอัพเกรดสเปคเล็กน้อย
นอกจาก iPad Air แล้ว Apple ยังได้เปิดตัว iPad 8th Generation เพิ่มอีกหนึ่งตัว โดยเป็นการอัพเกรดสเปคให้มีความทันสมัยมากขึ้นด้วย A12 Bionic ทำให้ iPad 8th Generation รองรับการใช้งานด้าน AR/ML เต็มรูปแบบ อีกทั้งยังสนุกได้มากขึ้นกับ Apple Pencil ผ่าน iPadOS 14 ที่จะช่วยปลดล็อกให้ Apple Pencil ทำงานได้อย่างอิสระมากขึ้น
ราคาและการวางจำหน่าย
สำหรับในประเทศไทย Apple จะวางจำหน่าย iPad ใหม่ทั้งสองรุ่นในเร็ว ๆ นี้ โดยมีราคาเริ่มต้นดังต่อไปนี้
- iPad 8th Generation เริ่มต้น 10,900 บาท สำหรับรุ่น WiFi 32 Gb และ 15,400 บาท สำหรับรุ่น Cellular 32 GB วางจำหน่าย 3 สี ได้แก่ สีเทาสเปซเกรย์ สีเงิน และสีโรสโกลด์
- iPad Air เริ่มต้น 19,900 บาท สำหรับรุ่น WiFi 64 GB และ 24,400 บาท สำหรับรุ่น Cellular 64 GB วางจำหน่าย 5 สี ได้แก่ สีเทาสเปซเกรย์ สีเงิน สีโรสโกลด์ สีเขียว และสีสกายบลู
ใครที่กำลังทรัพย์พร้อม ก็เตรียมเจอกันได้ในเร็ว ๆ นี้ แล้วก็ทิ้งท้ายกันเล็กน้อย คืนพรุ่งนี้ (16 กันยายน) Apple จะปล่อยอัพเดต iPadOS 14 อย่างเป็นทางการ ใครที่ใช้งานอยู่ก็เตรียมอัพเดตกันได้ครับ