นอกจาก iPad Air ใหม่แล้ว สินค้าอีกชิ้นที่ Apple เปิดตัวมาด้วย นั่นคือ “Apple Watch Series 6” ที่นับเป็นการทำลายกำแพงของนาฬิกาในมือ Apple ให้ม่ีความสามารถที่เหนือกว่าคู่แข่งได้แบบชัดเจน ด้วยฟีเจอร์ทางการแพทย์แบบจัดหนักจัดเต็ม ควบคู่กับบริการใหม่ที่จะเปลี่ยนให้ Apple Watch เป็นมากกว่านาฬิกาข้อมือไปโดยปริยาย
ของใหม่แบบใหญ่ ๆ หนึ่งชิ้นสำหรับ Apple Watch Series 6 นั่นคือเซ็นเซอร์สำหรับวัดค่าออกซิเจนในเลือด โดยกระบวนการคือที่ฝาหลัง Apple Watch จะมี LED ใหม่อีก 4 ดวง และเซ็นเซอร์อินฟราเรดอีก 4 กลุ่ม ร่วมกับ LED วัดอัตราการเต้นของหัวใจที่มีอยู่เดิม เซ็นเซอร์ทั้งหมดจะทำงานร่วมกับอัลกอริทึ่มแบบเฉพาะของ Apple เพื่อรายงานค่าออกซิเจนในเลือดได้อย่างเที่ยงตรง ระบบนี้จะทำงานแบบอัตโนมัติตลอดเวลา ทั้งขณะที่ผู้ใช้ต้องการข้อมูล ขณะอยู่ว่าง ๆ เป็นเวลานาน และขณะนอนหลับ โดยสามารถวัดได้ตั้งแต่ 70-100%
ข้อมูลทั้งหมดจะถูกส่งผ่านขึ้นไปยังแอปฯ Health บน iOS 14 เพื่อให้ผู้ใช้สามารถทราบได้ว่าผู้ใช้มีอัตราออกซิเจนในเลือดเป็นอย่างไรบ้าง ควรปรับปรุงตัวอย่างไร และควรแก้ไขอาการอย่างไร และในอนาคต Apple จะร่วมมือกับ University of California, Irvine และ Anthem เพื่อศึกษาต่อว่าข้อมูลที่ได้รับมา สามารถเอาไปทำอะไรต่อได้บ้าง จะมีประโยชน์กับผู้ใช้งานอย่างไรบ้าง และสามารถป้องกันโรคระบาดอะไรได้อีกบ้าง เช่น สัญญาณเริ่มต้นอาการของโรค COVID-19 เป็นต้น
นอกจากฟีเจอร์เรื่องการแพทย์ที่เพิ่มเติมเข้ามาแล้ว ของใหม่ด้านสุขภาพอีกอย่างหนึ่งของ Apple Watch Series 6 นั่นคือบริการใหม่อย่าง “Apple Fitness+” ซึ่งเป็นบริการเทรนเนอร์แบบออนไลน์ที่จะช่วยจัดโปรแกรมการออกกำลังกายให้ผู้ใช้งานอย่างเหมาะสม โดยอ้างอิงข้อมูลส่วนตัวจากบน iPhone และบน Apple Watch นอกจากบริการออกแบบโปรแกรมออกกำลังกายแล้ว Apple Fitness+ จะยังมีซุปเปอร์สตาร์มาร่วมออกแบบคอร์สสำหรับการออกกำลังกายจากที่บ้านให้ได้ดูกันกว่า 10 แบบหลัก และจะมีอัพเดตรายการเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มีความสดใหม่อยู่เสมอ
บริการนี้จะเริ่มเปิดตัวในบางประเทศก่อน ในราคาต่อเดือนที่ 9.99 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณเดือนละ 310 บาท) หรือจ่ายผ่าน Apple One ในแพ็คเกจ Premier ที่ราคา 29.95 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณเดือนละ 900 บาท) หรือถ้าใครอยากเหมาจ่ายรายปีก็สามารถจ่ายได้ที่ราคา 79.99 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 2,500 บาท) ซึ่งผู้ใช้งาน Apple Watch Series 6 จะใช้งาน Apple Fitness+ ได้ฟรี 3 เดือนด้วย
นอกจากฟีเจอร์ด้านสุขภาพที่กล่าวมาทั้งหมดแล้ว Apple Watch Series 6 ยังมาพร้อมกับชิป S6 รุ่นใหม่ล่าสุด ที่สามารถประหยัดแบตได้ดีกว่าเดิมถึง 20% และสามารถแสดงผลหน้าจอ Always-on Display ได้ดีกว่า Apple Watch Series 5 ถึงสองเท่า เรียกได้ว่าอัพของใหญ่แล้ว สเปคก็อัพเดตตามให้ดีขึ้นแบบชัดเจน
และไม่ใช่แค่ Apple Watch Series 6 เท่านั้น Apple ยังเปิดตัวร่างจำแลงราคาถูกของ Series 6 ในชื่อ “Apple Watch SE” โดยมาพร้อมกับฟีเจอร์ด้านฮาร์ดแวร์ทุกอย่าง ยกเว้นเซ็นเซอร์วัดออกซิเจนในเลือด หน้าจอแบบ Always-On และชิป S6 เท่านั้น เพราะใน Apple Watch SE ยังใช้ชิป S5 แบบเดียวกับ Series 5 แต่อัดแน่นฟีเจอร์ด้านฟิตเนสและสุขภาพอย่างครบครัน รวมถึงการรองรับ Apple Fitness+ ด้วย
Apple Watch Series 6 และ Apple Watch SE จะวางจำหน่ายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการในเร็ว ๆ นี้ เนื่องจากยังอยู่ในระหว่างการตรวจสอบอุปกรณ์กับ กสทช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา) โดยมีราคาจำหน่ายดังนี้
Apple Watch Series 6
- Aluminium ราคาเริ่มต้น 13,400 บาท
- Stainless Steel ราคาเริ่มต้น 22,900 บาท
- Edition (Titanium) ราคาเริ่มต้น 25,900 บาท
- Nike+ Edition ราคาเริ่มต้น 13,400 บาท
- Hermes Edition ราคาเริ่มต้น 39,900 บาท (วางจำหน่ายเฉพาะร้านไอคอนสยาม และเซ็นทรัลเวิลด์)
Apple Watch SE
- SE Aluminium ราคาเริ่มต้น 9,400 บาท
- SE Nike+ Edition ราคาเริ่มต้น 9,400 บาท