เปิดตัวอย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้ว สำหรับ iPhone รุ่นใหม่ประจำปี 2020 ที่รอบนี้ถือเป็นรุ่นปรับปรุงใหญ่ มีของใหม่เพิ่มเข้ามามากมาย และยังเป็นครั้งแรกที่ Apple มีไลน์อัพของ iPhone ให้ผู้ใช้ได้เลือกกันมากถึง 4 รุ่นในปีเดียว แต่ละรุ่นจะมีรายละเอียดอะไรบ้างนั้น และมีจุดเด่นอย่างไรบ้าง เลื่อนอ่านต่อกันได้เลย
ดีไซน์ตัวเครื่องที่ออกแบบใหม่หมดจด
จุดเด่นสำคัญของ iPhone รุ่นนี้ คือการออกแบบตัวเครื่องใหม่หมดจด เลิกใช้ขอบมนที่ใช้งานมาตั้งแต่สมัย iPhone 6 และกลับมาเป็นขอบแบนเหมือน iPhone 4 อีกครั้ง เช่นเคย ตัวขอบเครื่องทำหน้าที่เป็นเสารับสัญญาณเหมือน iPhone 4 และมีการบากรอยรับสัญญาณเหมือนปกติทุกประการ
iPhone 12 และ iPhone 12 mini มาพร้อมขอบตัวเครื่องแบบอลูมิเนียมเหมือน iPhone XR และ iPhone 11 โดยปีนี้มีสีให้เลือกถึง 5 สีเช่นเคย คือ สีดำ, สีขาว, สีเขียว, สีน้ำเงิน และสีแดง Product(RED)
ส่วนตัวใหญ่ของปีอย่าง iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max ยังคงจุดเด่นด้วยขอบเครื่องสแตนเลสเช่นเดียวกับ iPhone 11 Pro โดยปีนี้มีให้เลือก 4 สี คือ สีดำกราไฟต์ ที่เป็นสีดำเฉดใหม่ สวยงามกว่าเดิม, สีเงิน, สีทองเฉดใหม่หมดจด และสีแปซิฟิกบลู ที่เป็นสีพิเศษประจำปีนี้
หน้าจอสุดแกร่งที่สีสวยที่สุด
นอกจากดีไซน์ตัวเครื่องแล้ว ในด้านวัสดุยังมีการเปลี่ยนแปลงใหม่หมดด้วย เริ่มต้นที่กระจกหน้าจอ ในปีนี้ Apple เปลี่ยนกระจกใหม่หมด จาก Ion-X ที่ใช้มานานตั้งแต่สมัย iPhone 6 มาเป็นกระจกรูปแบบใหม่ที่มีชื่อว่า “Ceramic Shield” โดย Apple ใช้ผลึกเซรามิคที่เล็กระดับนาโนเมตรมาสร้างเป็นกระจกใหม่ที่มีความโปร่งแสงและมีความคงทนสูง ผลพลอยได้จากวัสดุใหม่ก็คือ iPhone 12 ทุกรุ่น จะทนทานต่อการตกกระแทกได้ดีกว่าเดิมถึง 4 เท่า
ตัวหน้าจอแสดงผลเองในปีนี้ก็มีการเปลี่ยนมาใช้หน้าจอ Super Retina XDR ที่เป็นจอแบบ OLED ครบทั้งไลน์ ตั้งแต่รุ่นเล็ก iPhone 12 mini ไล่ไปจนถึงรุ่นใหญ่สุดคือ iPhone 12 Pro Max โดยรายละเอียดปลีกย่อยเหมือนกันทั้งหมดคือ มีอัตราส่วนค่าคอนทราสต์ที่สูงถึง 2,000,000:1 และมีจำนวนพิกเซลที่หนาแน่นกว่าเดิม 40% ทำให้ iPhone 12 กลายเป็น iPhone ที่มีจอสวย ละเอียด และคมชัดมากที่สุดตัวหนึ่ง
5G มาแล้วบน "iPhone"
ของใหม่ใหญ่ที่สุดบน iPhone 12 คือการรองรับ 5G อย่างเป็นทางการ โดย Apple ได้ใช้เวลาทำการบ้านในเรื่อง 5G ร่วมกับ Verizon มานานพอสมควร จนในที่สุดก็ทำให้ Apple ได้ iPhone ที่ใช้งาน 5G ได้สมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่เคยมีมา
iPhone 12 ทุกรุ่น จะรองรับ 5G ทุกย่านความถี่ที่มีในโลก และรุ่นที่วางจำหน่ายในประเทศสหรัฐอเมริกา จะเพิ่มรองรับย่านความถี่สูงพิเศษระดับมิลลิเมตร หรือ mmWave เพิ่มเติมด้วย เพื่อรองรับการใช้งานร่วมกับเครือข่าย Verizon 5G Ultra Wideband ที่เป็นผลจากการทำงานร่วมกับ Verizon โดยเฉพาะ
สำหรับประเทศไทย ข้อมูลบนหน้าเว็บ Apple ระบุว่า iPhone 12 จะรองรับ 5G ที่ย่านความถี่ Sub 6 ครบทุกย่านความถี่ เช่น n12 (700 MHz) ของ CAT/AIS/dtac/TrueMove H, n40 (TD 2300 MHz) ของ dtac/TOT และ n41 (TD 2500 MHz) ของ AIS และ TrueMove H เป็นต้น แต่การจะใช้งาน 5G ได้นั้นจะต้องรอการทดสอบการใช้งานอีกครั้งหลังวางจำหน่าย และจะต้องอัพเดตซอฟต์แวร์เพื่อปลดล็อกการใช้งานต่อไป
การมี 5G บน iPhone จะช่วยให้การใช้งานแอปพลิเคชันต่าง ๆ ทำได้ดีมากขึ้น รวมถึงรองรับการโอนถ่ายไฟล์ขนาดใหญ่ รองรับการเล่นเกม Multiplayer ได้เที่ยงตรงมากขึ้น รวมถึงสามารถทำอะไรใหม่ ๆ กับ 5G ได้ง่ายขึ้น เพราะ Apple ได้มีการแก้ไขแอปฯ ทุกตัวบน iOS 14 เพื่อให้รองรับการใช้งานร่วมกับ 5G เอาไว้แล้ว
A14 Bionic ชิปที่เร็วสุดบนโลกสมาร์ทโฟน
iPhone 12 ทุกรุ่นมาพร้อมชิป A14 Bionic รุ่นใหม่ล่าสุดที่ใช้ใน iPad Air 2020 ก่อนหน้านี้ ซึ่งรอบที่แล้ว Apple ไม่ได้อธิบายเรื่องชิปเซ็ตเอาไว้มากเพราะถือเป็นไม้เด็ดของ iPhone แต่รอบนี้ Apple คายทุกอย่างของ A14 Bionic มาทั้งหมดแล้ว
A14 Bionic มาพร้อมเทคโนโลยีการผลิตที่ 5 นาโนเมตรเป็นครั้งแรกของสมาร์ทโฟน ตัวหน่วยประมวลผลมาพร้อมซีพียู 6 แกนและหน่วยประมวลผลกราฟิก 4 แกน ที่ให้พลังในการประมวลผลคำสั่ง และการเรนเดอร์กราฟิกสูงถึง 50% เมื่อเทียบกับหน่วยประมวลผลตัวอื่น ๆ ในท้องตลาด
นอกเหนือจากนั้นคือหน่วยประมวลผล Machine Learning และ Neural Engine ที่รองรับการประมวลผลคำสั่งสูงถึง 11 ล้านล้านคำสั่งต่อวินาที พร้อมด้วย Secure Enclave ที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้ตัวเครื่อง และ Image signal processor ตัวใหม่ที่ช่วยในการถ่ายภาพให้ดีขึ้นกว่าเดิม
กล้องที่ดี ที่วันนี้ดีขึ้นไปอีก
กล้องของ iPhone 12 รอบนี้มาพร้อมเซ็นเซอร์ใหม่ที่มีขนาดใหญ่กว่าเดิม รองรับการเข้าของแสงที่มากขึ้น ทำให้สามารถถ่ายภาพในที่แสงน้อยหรือภาพที่มีค่าความต่างของแสงสูง (HDR) ได้ดีกว่าเดิม ซึ่งเมื่อทำงานร่วมกับฟีเจอร์ Smart HDR 3 และชิป ISP บน A14 Bionic แล้ว กล้องของ iPhone 12 ถือว่าทำการบ้านได้ดีกว่าเดิมไปอีกระดับ
แต่สำหรับ iPhone 12 Pro นอกจากจะได้เซ็นเซอร์ใหม่เหมือนกันแล้ว จะยังได้กล้องใหม่ส่งตรงจาก iPad Pro อย่าง LiDAR Scanner มาเพิ่มเติมอีกหนึ่งอย่าง และไม่ใช่แค่นั้น สำหรับ iPhone 12 Pro Max รุ่นท็อปสุด จะได้กล้อง Telephoto ตัวใหม่ที่มีเซ็นเซอร์ใหญ่กว่าเดิม ทางเลนส์ที่ยาวขึ้น (จาก 52mm เป็น 65mm) รองรับการถ่าย Optical Zoom 2.5 เท่า หรือสูงสุด 5 เท่าเมื่อวัดจากเลนส์ Ultra-Wide และระบบกันสั่นรูปแบบใหม่ “SensorShift” ที่กันสั่นถึงระดับเซ็นเซอร์ของตัวกล้อง ทำให้ได้ภาพและวิดีโอที่มีความสั่นไหวที่น้อยลง นิ่ง และคมชัดมากขึ้น อีกทั้ง SensorShift จะยังช่วยในเรื่องของการโฟกัส ทำให้สามารถโฟกัสวัตถุหรือตัวแบบได้เร็วกว่า iPhone 12/12 mini และ 12 Pro แบบเห็นได้ชัดเจน
นอกจากฟีเจอร์ของตัวกล้องที่จะมาเสริมด้านการถ่ายภาพนิ่งแล้ว ในด้านการถ่ายวิดีโอ iPhone 12 จะเพิ่มการรองรับการถ่ายวิดีโอฟอร์แมต 10-bit หรือถ่ายวิดีโอแบบ HDR เพิ่มเข้ามา อีกทั้งยังสามารถถ่ายวิดีโอ HDR ในฟอร์แมต Dolby Vision ได้ด้วย เท่ากับว่า iPhone 12 จะรองรับ Dolby Vision ครบถ้วนกระบวนการ ตั้งแต่การถ่าย ตัดต่อ แชร์ และรับชม
แก้ปัญหาชาร์จไร้สายไม่ติดด้วย MagSafe
Apple เพิ่มการรองรับการชาร์จไร้สายมาตั้งแต่สมัย iPhone X แต่ปัญหาสำคัญที่ผ่านมาถึงสามปี คือ “ชาร์จไม่ค่อยติด” ในบางครั้ง เพราะวางตัวเครื่องผิดตำแหน่งชาร์จ ทำให้แท่นชาร์จไม่สามารถส่งกำลังไฟไปหาตัวเครื่องได้ เพื่อเป็นการแก้ปัญหานี้โดยสมบูรณ์ Apple จึงออกสายชาร์จและรูปแบบอุปกรณ์เสริมใหม่ในชื่อว่า “MagSafe”
ที่ด้านหลังเครื่องในตำแหน่งเดิมของแผงรับไฟไร้สาย Apple จะเพิ่มแม่เหล็กแรงดึงดูดสูงเข้ามา พร้อมแม่เหล็กป้องกันการเหนี่ยวนำของไฟฟ้าแบบเดียวกับที่ใช้ใน Apple Watch และย้ายตำแหน่งของ NFC มาอยู่ตำแหน่งเดียวกัน สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือผู้ใช้จะสามารถใช้หัวชาร์จ MagSafe เข้ามาช่วยชาร์จ iPhone ได้อย่างรวดเร็วตามมาตรฐาน Fast Wireless Charging รวมถึงยังสามารถใช้แม่เหล็กตัวนี้ติดเข้ากับกระเป๋าบัตรเพื่อเสียบบัตรหลังเครื่องได้เป็นต้น
นอกจากอุปกรณ์ของ Apple แล้ว มาตรฐาน MagSafe ยังเปิดให้ผู้ผลิตรายอื่นสามารถเข้ามาพัฒนาสินค้าได้ด้วย โดยชื่อที่ Apple เปิดมาคือ Belkin ที่จะออกแท่นชาร์จใหม่ที่รองรับทั้ง Wireless Charge/MagSafe และชาร์จ Apple Watch ได้พร้อมกันเป็นต้น
ราคาและการวางจำหน่าย
สำหรับ iPhone 12 มีกำหนดการวางจำหน่ายดังต่อไปนี้
iPhone 12 / iPhone 12 mini
สำหรับ iPhone 12 และ iPhone 12 mini จะมีให้เลือก 3 ความจุ คือ 64/128/256 GB โดยมีราคาดังต่อไปนี้
- iPhone 12 mini (จอ 5.4 นิ้ว)
- 64 GB – 25,900 บาท
- 128 GB – 27,900 บาท
- 256 GB – 31,900 บาท
- iPhone 12 (จอ 6.1 นิ้ว)
- 64 GB – 29,900 บาท
- 128 GB – 31,900 บาท
- 256 GB – 35,900 บาท
iPhone 12 Pro / iPhone 12 Pro Max
สำหรับ iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max จะมีให้เลือก 3 ความจุเช่นกัน คือ 128/256/512 GB โดยมีราคาดังต่อไปนี้
- iPhone 12 Pro (จอ 6.1 นิ้ว)
- 128 GB – 36,900 บาท
- 256 GB – 40,900 บาท
- 512 GB – 48,900 บาท
- iPhone 12 Pro Max (จอ 6.7 นิ้ว)
- 128 GB – 39,900 บาท
- 256 GB – 43,900 บาท
- 512 GB – 51,900 บาท
ทั้งนี้ Apple จะเริ่มวางจำหน่ายเครื่องให้กับลูกค้าในประเทศกลุ่มแรกในเดือนตุลาคมนี้สำหรับ iPhone 12 และ iPhone 12 Pro และในเดือนพฤศจิกายนสำหรับ iPhone 12 mini และ iPhone 12 Pro Max ในส่วนของประเทศไทย Apple จะเปิดให้จองสินค้าพร้อมกัน 4 รุ่น ในวันที่ 20 พฤศจิกายนนี้ ก่อนวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในวันที่ 27 พฤศจิกายนนี้