เปิดตัวกันตามธรรมเนียมเป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับเพาเวอร์โฟนรุ่นใหม่จาก Huawei กับ “Huawei Mate 40 Series” ที่รอบนี้ Huawei ไม่ได้มีแค่หนึ่งหรือสองรุ่น แต่มีมาให้เลือกกันถึง 3 รุ่นย่อย กับอีกหนึ่งรุ่นสุดพิเศษประจำปี แต่ละรุ่นจะมีรายละเอียดปลีกย่อยอย่างไรบ้างนั้น ตามอ่านกันต่อได้เลยครับ
ดีไซน์ใหม่ในแบบ Mate ๆ
Huawei Mate 40 มาพร้อมดีไซน์ตัวเครื่องในรูปแบบใหม่ที่มีชื่อว่า Space Ring Design อันเป็นการต่อยอดดีไซน์ของ Mate 30 Series ขึ้นมาอีกทอดหนึ่ง พร้อมทั้งย้ายเลนส์กล้องจากตรงกลางวงกลมมาอยู่ตรงขอบวงกลม ทำให้ดูดีมีระดับขึ้นไปอีก
Mate 40 Series จะแบ่งออกเป็น 4 รุ่นย่อย คือ Mate 40, Mate 40 Pro และ Mate 40 Pro+ ทั้งสามรุ่นย่อยมาพร้อมดีไซน์ตัวเครื่องแบบ Space Ring Design เหมือนกัน ต่างกันที่สเปค หน้าจอและรายละเอียดของกล้องที่เราจะพูดถึงกันต่อไป และอีกหนึ่งรุ่นย่อยได้แก่ “Porsche Design Mate 40 RS”
Mate 40 RS ยังคงได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบจากรถสปอร์ตเหมือนตระกูล RS ที่ผ่านมา และพิเศษกว่าด้วยส่วนเลนส์กล้องที่เปลี่ยนดีไซน์จาก Space Ring Design เป็นดีไซน์แบบ 8 เหลี่ยมแทน ทำให้ตัวเครื่องดูดีในอีกรูปแบบหนึ่ง
ในส่วนของสี Mate 40 และ Mate 40 Pro จะมีให้เลือกทั้งหมด 5 สี สองวัสดุ ได้แก่สีดำ ขาว และ Mystic Silver ที่เป็นผิวกระจก และสีเขียวและสีเหลือง ที่เป็นวัสดุหนังวีแกนแบบพิเศษที่ใช้พืชขึ้นตัวหนังแทนหนังสัตว์ปกติ
สำหรับ Mate 40 Pro+ และ Mate 40 RS จะเปลี่ยนวัสดุจากกระจกเป็นเซรามิคขึ้นรูปแทน โดยมีให้เลือกสองสีได้แก่ Ceramic White และ Ceramic Black
หน้าจอที่ตกได้สวยกว่าเดิม
หน้าจอของ Mate 40 Pro, Mate 40 Pro+ และ Mate 40 RS ยังคงใช้หน้าจอแบบ Horizon Display เช่นเดิม แต่ปีนี้ Huawei ปรับให้ขอบข้างตกลงมามากขึ้น และเอียง 88 องศา โดยให้ชื่อใหม่ว่า “88° Horizon Display”
หน้าจอแบบใหม่จะมีขอบที่เอียง 88 องศาจากตัวหน้าจอ จับถือได้ถนัดมากขึ้น แม้ด้วยองศาที่กว้างขึ้น Huawei รู้ดีว่าย่อมมีผู้ใช้ที่ไม่พอใจ เพราะกลัวว่าระบบทัชจะเพี้ยนจากหน้าจอแบบนี้ Huawei จึงได้ปรับให้ EMUI 11 สามารถรับรู้ได้ว่าส่วนที่โดนจอเป็นนิ้วหรือว่าอุ้งมือ ช่วยป้องกันมิให้เกิดอุบัติเหตุ หรือเกิดข้อผิดพลาดใด ๆ จากการใช้งานตามปกติเป็นต้น
Huawei Mate 40 Pro, Mate 40 Pro+ (รวมถึง Mate 40 RS) มาพร้อมหน้าจอ P-OLED ขนาดใหญ่ 6.76 นิ้ว ความละเอียด 2772×1344 พิกเซล รองรับ DCI-P3 และมีอัตรารีเฟรชที่ 90 Hz อัตราการตอบสนองในการทัชอยู่ที่ 240 Hz ทำให้การใช้งานดูราบลื่นกว่าที่เคย
แต่สำหรับ Mate 40 รุ่นเล็ก มาพร้อมกับหน้าจอ Horizon Display แบบ Mate 30 Pro ขนาดกว้าง 6.5 นิ้ว พร้อมรองรับ DCI-P3 และอัตรารีเฟรช 90 Hz เช่นกัน
บ้าพลังแบบ Mate ๆ
Mate 40 Series มาพร้อมชิป Kirin 9000 รุ่นใหม่ล่าสุด ที่มาพร้อมเทคโนโลยีการผลิตระดับ 5nm เป็นครั้งแรกของโลก พร้อมชิปประมวลผลกราฟิก Mali-G78 ตัวแรกของโลก ทั้งหมดแสดงให้เห็นได้ว่า เรื่องสเปค Huawei ก็ยังคงทำการบ้านได้ดีเสมอมา
เสียอย่างเดียวคือ Mate 40 รุ่นเล็ก กลับใช้รุ่นตัดสเปค คือ Kirin 9000E โดยมีการลดทอนสเปคในส่วนของตัวประมวลผลกราฟิกลง ทำให้รุ่นสูงกว่าสามารถแสดงผลกราฟิกได้ดีกว่าแบบชัดเจน
กล้องที่สมบูรณ์ขึ้นไปอีก
Mate 40 Series ยังคงมาพร้อมกล้อง Huawei SuperSensing Cine Camera โดย Leica เหมือนเดิม แต่ที่ไม่เหมือนเดิมคือรอบนี้มีการปรับรายละเอียดเลนส์กันพอสมควร
Mate 40 และ Mate 40 Pro จะมาพร้อมกล้องสี่เลนส์ ประกอบด้วยกล้อง Wide ความละเอียด 50 ล้านพิกเซลเหมือนกันทั้งคู่ กล้อง Ultra Wide ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล บน Mate 40 และกล้อง Ultra Wide Cine ความละเอียด 20 ล้านพิกเซล บน Mate 40 Pro กล้อง Telephoto ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล รองรับซูมแบบออพติคัลถึง 5 เท่า บน Mate 40 และกล้อง Periscope Camera ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รองรับซูมแบบออพติคัลถึง 7 เท่า
ในขณะที่ Mate 40 Pro+ จะมาพร้อมกับกล้อง 5 ตัว ได้แก่กล้อง Wide ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล กล้อง Ultra Wide ความละเอียด 20 ล้านพิกเซล พร้อมเลนส์รูปแบบใหม่ที่ช่วยแก้การบิดเบี้ยวของภาพ (distortion) ในชื่อ Free-form lens กล้อง ToF Camera กล้อง Telephoto ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล และกล้อง Periscope ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล รองรับการซูมแบบออพติคัลสูงสุด 17 เท่า
ส่วน Mate 40 RS ตัวแรงสุดจะมาพร้อมกับกล้อง 5 ตัว พร้อมเซ็นเซอร์อีกสอง ได้แก่กล้อง Wide ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล กล้อง Ultra Wide ความละเอียด 20 ล้านพิกเซล กล้อง ToF Camera กล้อง Telephoto ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล และกล้อง Periscope ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล รองรับการซูมแบบออพติคัลสูงสุด 17 เท่า มาพร้อมกับเซ็นเซอร์ตรวจจับอุณหภูมิสีแบบ 8 บิต เพื่อให้ได้สีที่เที่ยงตรงกับภาพมากที่สุด
และไฮไลต์สำคัญของ Mate 40 RS คือ เซ็นเซอร์ตรวจวัดอุณหภูมิแบบอินฟราเรด 3D ช่วยให้ตรวจวัดอุณหภูมิของวัตถุในสถานที่ต่าง ๆ ได้อย่างแม่นยำตั้งแต่ -20 องศา จนถึง 100 องศาเซลเซียส
ความฉลาดที่เพิ่มมากขึ้น
ถึงแม้ว่าวันนี้ปัญหาระหว่าง Google กับ Huawei ยังไม่คลี่คลาย แต่ Mate 40 Series ก็ยังคงมาพร้อมกับ Android 11 พร้อม EMUI 11 และบริการ Huawei Mobile Service เต็มรูปแบบ พร้อมทั้งม่ีความสามารถใหม่เฉพาะตัวของ Mate 40 Series อาทิ Eye-on Display ที่ตรวจจับสายตาแบบอัตโนมัติ ระบบ Gesture Control รูปแบบใหม่ที่ให้คุมเครื่องได้ง่ายขึ้น เป็นต้น
อย่างไรก็ดี Huawei มีแผนที่จะอัพเดต HarmonyOS มาให้ใช้งานแทน Android ในอนาคต และ Mate 40 Series ก็จะเป็นมือถือรุ่นแรก ๆ ที่จะได้ใช้งาน HarmonyOS ก่อนใครด้วยเช่นกัน
ราคาและการวางจำหน่าย
Huawei จะเริ่มวางจำหน่าย Mate 40 Series ในเร็ว ๆ นี้ (ยังไม่ระบุวันวางจำหน่ายที่แน่ชัด) โดยมีราคาดังนี้
- Mate 40 (แรม 8 GB/128 GB) – ราคา 899 ยูโร (ประมาณ 33,000 บาท)
- Mate 40 Pro (แรม 8 GB/256 GB) – ราคา 1,199 ยูโร (ประมาณ 44,000 บาท)
- Mate 40 Pro+ (แรม 12 GB/256 GB) – ราคา 1,399 ยูโร (ประมาณ 51,000 บาท)
- Mate 40 RS (ไม่ระบุหน่วยความจำ) – ราคา 2,295 ยูโร (ประมาณ 85,000 บาท)
สำหรับในไทย คงต้องรอดูความเคลื่อนไหวของ Huawei ประเทศไทยกันต่อไปว่าจะได้เครื่องเข้ามาขายเมื่อใด เพราะในต่างประเทศก็ยังไม่มีกำหนดการวางจำหน่ายที่ชัดเจนแต่อย่างใด