หลังจากมีข่าวมานานแรมปีกับหูฟังจัดเต็มในชื่อ “AirPods Studio” และแล้ว .. เมื่อคืนที่ผ่านมา Apple ได้เปิดตัวหูฟังตัวนี้อย่างเป็นทางการกับ “AirPods Max” ที่จะเปลี่ยน และสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับหูฟัง Overhead ไปตลอดกาล กับความจัดเต็มในทุกด้านที่ Apple หยิบมายำใส่รวมกันได้อย่างลงตัว เพื่อสร้างประสบการณ์และความมหัศจรรย์รูปแบบใหม่จากหูฟัง Overhead ที่ทำได้ทุกอย่างตัวนี้
จัดเต็มคุณภาพเสียงในทุกเม็ด ทุกย่านความถี่

AirPods Max มาพร้อมกับการออกแบบภายในที่คิดใหม่ทำใหม่ทั้งหมด โดยมาพร้อมไดรเวอร์ไดนามิกขนาด 40 มิลลิเมตรและมอเตอร์วงแหวนแม็กเน็ตนีโอไดเนียมคู่ ซึ่งจะให้ทั้งเสียงที่นุ่มลึก มีเอกลักษณ์ เบสแน่นแต่ไม่หนักเกินไป เสียงกลางที่ถูกต้อง และเสียงสูงที่ไม่สูงจนเกินไป ทั้งหมดถูกควบคุมด้วยชิป Apple H1 ที่รอบนี้มาแบบแยกข้าง เพื่อประมวลผล และกลั่นกรองเสียงในแต่ละข้างอย่างแม่นยำในทุกคีย์ ทุกตัวโน้ต ทุกย่านความถี่ พร้อมทั้งปรับความถี่เสียงได้เองด้วย EQ แบบปรับแต่งเองได้ ซึ่งทั้งหมดเป็นกระบวนการประมวลผลเสียงแบบเรียลไทม์ที่จบในตัวหูฟัง ทำให้มั่นใจได้ว่า คุณภาพเสียงที่ได้จาก AirPods Max จะเป็นคุณภาพเสียงที่ดีที่สุด รายละเอียดครบ ถูกต้อง ชัดเจน และมีโอกาสเสียงเพี้ยนน้อยกว่า 1% ในทุกระดับเสียง แม้เปิดเสียงดังสูงสุดก็ตาม
จัดเต็มประสบการณ์ กับความสมจริงแบบ 360 องศา

ไม่ใช่แค่ไดรเวอร์รูปแบบใหม่เท่านั้น AirPods Max ยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ใหม่ที่ Apple เรียกว่า “Dynamic Head Tracking” ที่ทำงานร่วมกับเซ็นเซอร์ Gyroscope ระหว่างตัวหูฟังกับ iPhone/iPad/iPod อย่างลงตัว โดยจะจับความเคลื่อนไหวของหัวผู้ใช้งานแบบอัตโนมัติ เพื่อวางเสียงให้มีความเหมาะสมและสมจริงในทุกบรรยากาศ อีกทั้งยังรองรับ Dolby Surround 5.1/7.1 คุณภาพเสียงที่ได้จึงแทบไม่แตกต่างกับการไปนั่งฟังจริง ๆ อยู่ในห้องอัดหรือภายในโรงละคร
และไม่ใช่แค่นั้น AirPods Max ยังรองรับ “Spatial Audio” แบบเดียวกับ AirPods Pro ทำให้สามารถเล่นคอนเทนต์แบบ DTS:X หรือ Dolby Atmos ได้ทันที และด้วยฟีเจอร์การติดตามศรีษะ AirPods Max จะสร้างบอลลูนขนาดใหญ่ที่มี iPhone หรือ iPad เป็นศูนย์กลาง แล้วส่งมอบเสียงที่ครบในทุก ๆ ด้านอย่างลงตัว ไม่ว่าผู้ใช้จะหันหน้าไปทางไหนก็ตาม
จัดเต็มทุกความเงียบ กับ Active Noise Cancellation

AirPods Max ยังมาพร้อมฟีเจอร์ Active Noise Cancellation ที่เป็นการทำงานร่วมกันของชิป Apple H1 และไมโครโฟนด้านนอกข้างละ 3 ตัว ทำให้จัดเก็บเสียงรอบข้าง แล้วตัดออกได้อย่างแนบเนียน ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้โฟกัสกับคอนเทนต์หรือเพลงได้อย่างเต็มที่แบบเรียลไทม์ และด้วยความสามารถนี้ AirPods Max ยังสามารถปรับการตัดเสียงได้อย่างแม่นยำในทุก ๆ การเคลื่อนไหวของใบหูและศรีษะได้อย่างลงตัว แต่ถ้าเมื่อใดผู้ใช้ต้องการฟังเสียงภายนอก เพียงกดปุ่มบนตัวหูฟังหนึ่งครั้ง AirPods Max ก็จะปรับให้เสียงภายนอกลอดเข้ามาภายในหูฟังได้ทันที และสามารถตัดกลับเข้าสู่โหมดตัดเสียงได้อย่างรวดเร็วเพียงกดซ้ำไปอีกครั้ง
จัดเต็มงานดีไซน์แบบอคูสติกและ "Digital Crown"

Apple นำเสนอคุณภาพเสียงทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้น ในดีไซน์แบบอคูสติกที่สวยงาม พิถีพิถันในทุกรายละเอียด เริ่มที่ฟองน้ำหูฟังที่มีความนุ่มสบาย ก้านหูฟังที่ถักทอถ้วยผ้าตาข่ายที่สามารถระบายอากาศได้ และโครงก้านหูฟังทำจากสแตนเลส มีความคงทน แข็งแรง ยืดหดได้ตามสรีระของศรีษะ และกระจายน้ำหนักของหูฟังได้เป็นอย่างดี ทั้งหมดนี้จะช่วยการใส่ AirPods Max ไม่เกิดการกดหัวอย่างรุนแรงจนสร้างอาการบาดเจ็บให้กับผู้ใช้เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในหูฟัง Overhead หลาย ๆ รุ่น และยังช่วยให้การใส่ตัวหูฟังรู้สึกมั่นคง ไม่เคลื่อนไปมาแม้กำลังเดินหรือวิ่ง

ตัวถ้วยหูทำจากอลูมิเนียมเกรดเดียวกับที่ใช้ทำยานอวกาศ ทำให้มั่นใจได้ว่าไม่เกิดสัญญาณรบกวนตลอดการใช้งาน และยังช่วยลดการกดศรีษะด้วยเทคนิคการหมุนถ้วยแบบใหม่ที่ทำให้เกิดความสมดุลในการใช้งาน ตัวถ้วยข้างขวายังมาพร้อมปุ่มควบคุมการใช้งานสองปุ่ม คือปุ่มตัดเสียงรบกวน และปุ่มสั่งการแบบครอบจักรวาล ที่ครั้งนี้ Apple ได้หยิบเอา “Digital Crown” อันเป็นเอกลักษณ์จาก Apple Watch มาใช้งานแทนปุ่มกดแบบเดิม ๆ ซึ่ง Digital Crown บน AirPods Max จะไว้ใช้สั่งการทำงานหลัก ๆ ของตัวหูฟัง เช่น หมุนเพื่อปรับระดับเสียง หรือกดเพื่อข้ามแทรค รับ/วางสาย และเรียกใช้งาน Siri เป็นต้น
จัดเต็มความยาวนาน กับแบตเตอรี่ที่อยู่ และใช้งานได้นาน

AirPods Max มาพร้อมแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้นานต่อเนื่องถึง 20 ชั่วโมงต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง โดยยังมาพร้อมฟีเจอร์ Fast Fuel ด้วยพอร์ต Lightning แบบเดียวกับหูฟัง Beats หลาย ๆ รุ่น เพียงแค่ชาร์จ 5 นาที ก็สามารถใช้งานต่อได้นานถึงหนึ่งชั่วโมงครึ่ง
แต่ความจัดเต็มเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ที่ตัวแบต แต่เป็นที่เคส “Smart Case” แบบใหม่ ที่นุ่ม บาง และถนอมตัว AirPods Max ไม่ให้ได้รับความเสียหายจากรอยขีดข่วน และยังถนอมแบตแบบสุด ๆ เพราะเมื่อใส่หูฟังเก็บลงใน Smart Case ตัวหูฟังจะตัดการเชื่อมต่อกับ iPhone / iPad / iPod / Mac ทุกเครื่องทันที และเข้าสู่สภาวะ “จำศีล” ด้วยโหมด Ultra-Power Saving ทำให้สามารถยืดอายุการใช้งานได้นานต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง และไม่เป็นอันตรายกับแบตเตอรี่แม้ไม่ได้ใช้ตัวหูฟังเป็นเวลานาน
ราคาก็ "จัดเต็ม" เช่นกัน

ในส่วนของราคา ก็จัดเต็มสมชื่อรุ่น Max ด้วยค่าตัวที่ 19,900 บาท ในกล่องจะมี Smart Case มาให้อยู่แล้วโดยไม่ต้องซื้อเพิ่ม มีให้เลือกทั้งหมด 5 สีได้แก่สีเงิน สีเทาสเปซเกรย์ สีฟ้าสกายบลู สีชมพู และสีเขียว ตามสีของ iPhone 12 ในปีนี้ ในส่วนของวันวางจำหน่าย ในประเทศไทยยังไม่มีกำหนดการวางจำหน่ายที่ชัดเจน เนื่องจากอยู่ในระหว่างการขออนุมัติการนำเข้าจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คาดว่าจะเริ่มวางจำหน่ายได้ในช่วงปลายปีนี้ หรืออย่างช้าก็ประมาณต้นเดือนมกราคมปีหน้า