ผ่านไปก็สองปีแล้วที่ Huawei เปิดตัว “Huawei Mate X” มือถือพับได้รุ่นแรกของบริษัท และได้ออกรุ่น Minorchage ในชื่อรุ่น “Mate XS” ในปลายปีเดียวกันเพื่อแก้ปัญหาต่าง ๆ ของ Mate X ที่ได้รับมา ผ่านไปอีกหนึ่งปี วันนี้ Huawei ใช้เวทีงาน MWCS 2021 เปิดตัวทายาทอย่างเป็นทางการของ Mate X ในชื่อรุ่นว่า Z Fold 2 เอ้ย “Huawei Mate X2”
ดีไซน์ใหม่ "Pinnacle Design"

ที่เผลอไปเรียก Z Fold 2 นี่ ไม่ใช่ตั้งใจนะครับ แต่เพราะดีไซน์ในพริบตาแรกของ Mate X2 มันช่างละม้ายคล้ายกับ Z Fold 2 มากกว่า Mate X รุ่นแรก นั่นคือเอาจอใหญ่พับเข้าด้านในแทนด้านนอก แล้วปะหน้าทับด้วยหน้าจอแสดงผลอีกหนึ่งชุด ทั้งหมด Huawei เรียกดีไซน์นี้ว่า “Pinnacle Design”
Pinnacle Design ประกอบไปด้วยส่วนสำคัญหลายส่วน อันได้แก่จอของ Mate X2 รอบนี้ไม่ใช่จอใหญ่พับออกด้านนอก แต่เป็นการแบ่งหน้าจอออกเป็นสองชุด คือจอนอก 6.45 นิ้ว และจอในขนาด 8 นิ้ว ทั้งคู่รองรับ Refresh Rate ที่ 90 Hz ซึ่งน้อยกว่า Galaxy Z Fold 2 ที่รองรับ 120 Hz แต่ตัวจอในกลับมี Touch Sampling Rate ที่ 240 Hz (มากกว่า 1 เท่า) ทำให้ความลื่นไหลในการใช้งานจอด้านในนั้น Mate X2 ทำงานได้ดีกว่า

ในส่วนของกลไกการพับหน้าจอก็ยังเหมือน Mate X รุ่นแรก คือใช้กลไกแบบ Falcon Wing Design แต่เพิ่มความแข็งแกร่งของกลไกไปอีกเท่าตัว และมีระบบล็อกกลไกโดยอัตโนมัติแบบเดียวกับ Galaxy Z Fold ทำให้สามารถหักจอใช้งานในมุม 45/90 องศาได้เช่นกัน แต่ความพิเศษอยู่ที่การพับหน้าจอ ด้วยกลไกแบบ Falcon Wing ที่ใช้เหมือน Mate X ทำให้เมื่อพับหน้าจอลงไปทั้งหมดแล้ว ตัวเครื่องแทบไม่มีช่องว่างเหลืออยู่ระหว่างกลาง และทำให้มิติเครื่องเรียบสนิทสมมาตรทุกสัดส่วน
สเปคก็แรงไม่แพ้รุ่นพี่ใน Mate Series

ขึ้นชื่อว่า Mate Series ก็ต้องได้สเปคเครื่องที่แรงไม่แพ้กัน โดย Mate X2 มาพร้อมกับชิป Kirin 9000 5G ตัวเดียวกับ Mate 40 Series พร้อมชิปกราฟิก Mali-G78 รุ่นใหม่ล่าสุด เหมือนกันแบบเด๊ะ ๆ

แต่สิ่งที่ไม่เหมือนกันคือขอบเครื่องของ Mate X2 ที่ได้รับการดีไซน์ใหม่หมดจด โดยมีการเหลาขอบให้มีความสวยงาม และสามารถรับสัญญาณได้ดีทั้ง 4G/5G และ Wi-Fi โดยตัวเครื่องรองรับ Wi-Fi 6+ มาตรฐานล่าสุดของโลกกันเลยทีเดียว
เรื่องกล้องขอให้บอก จัดเต็มไม่แพ้กัน

ในเรื่องของกล้องหลัก ก็ยังคงสมชื่อ Huawei ไม่เปลี่ยนแปลง นั่นคือกล้องตัวเก่งโดย Leica กับ “Ultra Vision Leica Quad Camera” รอบนี้ตัวกล้องค่อนข้างเหมือนกับ Mate 40+ นั่นคือประกอบไปด้วย 4 เลนส์เทพไม่ว่าจะเป็น
- กล้อง Ultra Vision Camera ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล บนเซ็นเซอร์ RYYB พร้อมรองรับ Full Pixel Octa PD AutoFocus
- กล้อง Cine Camera ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล มุมกว้างพิเศษ พร้อมรองรับการถ่ายมาโครในระยะ 2.5 เซ็นติเมตร
- กล้อง Telephoto ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รองรับ Optical Zoom 3 เท่า
- กล้อง SuperZoom Camera ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล รองรับ Optical Zoom 10 เท่าและ Digital Zoom 100 เท่า
นอกเหนือจากนี้ก็เหมือนกับ Mate X นั่นคือรองรับการใช้จอนอกเป็นจอแสดงผลของกล้อง หากใครต้องการถ่ายเซลฟี่มุมกว้าง หรือหากต้องการถ่ายวิดีโอในโหมดโปร ก็สามารถใช้จอในจัดการรายละเอียดของวดีโอให้จบหลังกล้องได้เลย แต่ที่จะแตกต่างในรอบนี้ คือจอนอกของ Mate X2 มีกล้องหน้าให้ด้วย โดยมีความละเอียด 16 ล้านพิกเซล รองรับทุกฟีเจอร์กล้องหน้าของ Mate 40 ครบถ้วน
ฉลาดเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือทำอะไรได้มากกว่า

สำหรับตัวระบบปฏิบัติการ Huawei Mate X2 มาพร้อมกับ EMUI 11+Android 10 เวอร์ชันเดียวกับ Mate X ตัวแรก แต่ที่พิเศษกว่าคือมีความสามารถใหม่อย่าง Smart Multi-Window เพิ่มเข้ามา โดยฟีเจอร์นี้จะอนุญาตให้ผู้ใช้สามารถเปิดแอปฯ ได้มากกว่า 3 ตัว และสามารถเปิดได้ต่อเนื่องไม่มีจำกัดเท่าที่เครื่องยังทนไหว และสามารถทำงานข้ามแอปฯ กันได้อย่างลงตัว
นอกจากนี้ตัวเครื่องยังรองรับฟีเจอร์ App Continuity ที่เป็นฟีเจอร์มาตรฐานของ Android 10 ในการส่งต่อการใช้งานแอปฯ จากจอนอกขึ้นสู่จอในได้ทันทีเมื่อกางเครื่องออก รวมถึงยังมีฟีเจอร์พิเศษอื่น ๆ ที่ทำได้ดีกว่า Samsung เสียอีก เช่น ฟีเจอร์ Multi-View ของ Huawei Video ที่ร่วมมือกับผู้ผลิตคอนเทนต์ในการสร้างคอนเทนต์จากหลากหลายมุมแล้วให้ผู้ใช้เลือกมุมในการรับชมได้ด้วยตัวเองอย่างอิสระ
ทั้งหมดนี้ อย่าลืมว่ายังเป็นการยืนพื้นบน Android 10 เท่านั้น ในอนาคตหาก Huawei พัฒนา HarmonyOS แล้วเสร็จ เราอาจจะได้เห็นฟีเจอร์ใหม่ ๆ พ่วงมากับ HarmonyOS ก็เป็นได้
ราคาระห่ำแค่ไหน?

ขึ้นชื่อว่า Mate X ทั้งที ราคาก็ระห่ำสมชื่อตระกูลเหมือนเดิม โดย Mate X2 วางจำหน่ายทั้งหมดสองขนาด คือ 256 GB วางจำหน่ายที่ราคา 17,999 หยวน หรือประมาณ 84,000 บาท และ 512 GB วางจำหน่ายที่ราคา 18,999 หยวน หรือประมาณ 89,000 บาท ทั้งคู่วางจำหน่ายทั้งหมด 4 สี คือ Crystal Blue, Crystal Pink, Black, White เริ่มวางจำหน่ายในจีนตั้งแต่ 25 กุมภาพันธ์นี้เป็นต้นไป
ส่วนในไทย เข้ามาก็น่าจะระห่ำไม่แพ้ Mate XS แน่นอนครับ TvT