ข่าวสั้น

เปิดตัว iPad Pro รุ่นใหม่ เล่นใหญ่จัดเต็มด้วยครั้งแรกของชิป M1 และหน้าจอ Liquid Retina XDR

Apple เปิดตัวสินค้าใหม่รอบเดือนเมษายน และก็เป็นไปตามข่าวลือ เพราะสินค้าหลักที่เปิดตัวในงานวันนี้คือ iPad Pro รุ่นใหม่ ที่ปรับสเปคมาค่อนข้างไกลจากรุ่นเดิมพอสมควร

เริ่มที่ของใหญ่ชิ้นแรกใน iPad Pro นั่นคือการเปลี่ยนชิปประมวลผลจาก Apple A Series รุ่นปรับแต่ง (ที่ได้ยินกันบ่อย ๆ ในชื่อ AX Series) มาเป็นชิป Apple M Series ที่ใช้ใน Mac Apple Silicon โดย Apple ระบุว่าการเปลี่ยนชิปจาก A Series มาเป็น M Series ไม่ได้ปรับปรุงอะไรมาก เพราะ M Series มีรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบเดียวกับ A Series คือ ARM โครงสร้างส่วนใหญ่ในชิปเซ็ตเหมือนกัน รวมถึง iPadOS ถูกออกแบบมาให้รองรับหน่วยประมวลผลนี้ตั้งแต่แรก ซึ่งทั้งหมดช่วยให้ iPad มีพลังในการประมวลผลสูงกว่าเดิม (A12Z Bionic) ถึง 50% และงานประมวลผลกราฟิกก็ดีขึ้นถึง 40% ทำให้สามารถรองรับงานที่ซับซ้อน แอปที่ต้องใช้พลังการประมวลผลสูงมาก รวมถึงการเล่นเกม ก็ทำได้ดีระดับน้อง ๆ เกมคอนโซลเลยทีเดียว

ของใหญ่ชิ้นที่สองคือหน้าจอแสดงผลแบบใหม่ที่ Apple เรียกมันว่าเป็นการยกหน้าจอ Pro Retina XDR ราคาแสนกว่าบาทลงมาอยู่ใน iPad Pro นั่นคือ “Liquid Retina XDR” ซึ่งเทคโนโลยีเบื้องหลังของจอนี้คือ MiniLED ที่มีข่าวลือกันมานาน โดยทั้งหน้าจอ (ขนาด 12.9 นิ้ว) จะมีหลอดไฟ MiniLED รวมกันทั้งหมด 10,000 หลอด สามารถให้ค่าความสว่างสูงสุดที่ 1000 nits อัตรา Peak Brightness สูงถึง 1600 nits มีค่าคอนทราสต์สูงถึง 1,000,000:1 รองรับค่าสี DCI-P3, TrueTone, ProMotion และรองรับ HDR10/HLG/Dolby Vision เรียกได้ว่าคุณสมบัติทั้งหมดเทียบเท่าหน้าจอ Pro Retina XDR และช่วยให้ผู้ใช้สามารถทำงานภายใต้คุณลักษณะสีแบบเดียวกันได้ทั้งหมด ข่าวดีคือจอ Liquid Retina XDR มีเฉพาะรุ่น 12.9 รุ่นเดียวเท่านั้น รุ่น 11 นิ้ว จะยังเป็นจอ Liquid Retina แบบเดียวกับ iPad Pro ตัวที่แล้ว

ของใหญ่ชิ้นที่สามคือการเปลี่ยนพอร์ตเชื่อมต่อจาก USB-C เป็น Thunderbolt 4 ซึ่งเป็นความสามารถพิเศษที่ติดมากับชิป M1 ทำให้ผู้ใช้สามารถโอนถ่ายไฟล์ได้ความเร็วสูงสุดถึง 40 Gbps รวมถึงสามารถต่อหน้าจอ Pro Retina XDR ได้เต็มความละเอียด 6K รองรับสปีดอินเทอร์เน็ตผ่านสาย LAN สูงสุด 10 Gbps และรองรับ Dock ที่เป็น Thunderbolt 4 เพื่อใช้งานอุปกรณ์เสริมร่วมกันได้ทั้งหมด

ของใหญ่ชิ้นที่ 4 และเป็นชิ้นที่สำคัญมากโดยเฉพาะกับการทำงานตามเทรนด์ Work form Everywhere นั่นคือการรองรับ 5G เต็มตัว โดย iPad Pro จะรองรับ 5G ทั้งแบบซิมการ์ด และแบบ eSIM รองรับ 5G Dual SIM แบบ Always-on เช่นเดียวกับ iPhone 12 Series ซึ่งทั้งหมดจะช่วยปลดล็อกให้ผู้ใช้สามารถนำ iPad Pro ไปใช้งานกับที่ไหนก็ได้ตามสะดวกผ่านเครือข่าย 5G และสำหรับรุ่นที่วางจำหน่ายในสหรัฐอเมริกา ก็ยังรองรับคลื่น mmWave ทำให้สามารถใช้สปีดได้สูงสุดถึง 4 Gbps ปลดล็อกทุกพันธนาการของการทำงานนอกสถานที่ได้อย่างลงตัว

นอกนั้นเป็นการปรับสเปคละเอียดโดยย่อย ไม่ว่าจะเป็นกล้อง TrueDepth Camera ใหม่ที่เป็นแบบ Ultra-Wide ซึ่งมาพร้อมฟีเจอร์ใหม่อย่าง Center Stage (จัดให้อยู่ตรงกลาง) ที่จะปรับตำแหน่งของผู้ใช้งานให้อยู่ตรงกลาง หรือปรับเฟรมหน้าจอให้เหมาะสมกับผู้ใช้ที่มากกว่า 1 คน โดยอัตโนมัติ ซึ่งจะรองรับการใช้งานร่วมกับทุกแอปฯ ที่ใช้กล้องหน้า เช่น FaceTime, Microsoft Teams, Zoom, Slack / กล้องหลักที่มาพร้อม ISP ตัวใหม่ ทำให้รองรับฟีเจอร์ Smart HDR 3 ของ iPhone 12 / ไมโครโฟนใหม่ จับเสียงผู้ใช้ได้ดีขึ้น และลำโพง Quad Speaker ที่รองรับ Dolby Atmos

iPad Pro ใหม่จะเปิดให้จองสินค้าล็อตแรกวันที่ 30 เมษายนนี้ รับเครื่องอย่างเป็นทางการในครึ่งเดือนหลังของเดือนพฤษภาคม โดยมีตัวเลือกเหมือนเดิมคือ Wi-Fi และ Cellular (5G) ความจุรอบนี้มีให้เลือกตั้งแต่ 128 GB จนถึง 2 TB ในราคาเริ่มต้น 27,900 บาท สำหรับรุ่น Wi-Fi 11 นิ้ว, 32,900 บาท สำหรับรุ่น Cellular 11 นิ้ว, 37,900 บาท สำหรับรุ่น Wi-Fi 12.9 นิ้ว และ 42,900 บาท สำหรับรุ่น Cellular 12.9 นิ้ว

ในด้านอุปกรณ์เสริม iPad Pro ใหม่ ยังคงรองรับ Smart Keyboard Folio, Apple Pencil 2 และ Magic Keyboard เหมือนรุ่นที่แล้วเปี๊ยบ แต่ความพิเศษรอบนี้คือ Magic Keyboard มีตัวเลือกสีขาวให้เลือกซื้อแล้วในราคาเดิมคือ 11,690 บาท

คณะแกดกวน #teamgadguan

คณะแกดกวน #teamgadguan

เว็บ Gadget อารมณ์ดี มีสาระ
เราคุยกันได้ทั้งเรื่องของเล่นไฮเทค วิทยาการ หรือกระทั่งเมาท์เรื่องไม่เป็นเรื่อง ให้เป็นงานเป็นการ