สุดท้ายและท้ายสุดก็หนีไม่พ้น watchOS ที่ครั้งนี้กับ watchOS 8 มาพร้อมฟีเจอร์ใหม่ ๆ มากมาย ภายใต้แกนหลักของรุ่นคือการทำ “สมาธิ” เพื่อช่วยให้ผู้ใช้ได้ผ่อนคลายจากความเครียดที่สะสมมานาน
เมื่อพูดถึงสมาธิ ฟีเจอร์แรกที่เป็นฟีเจอร์ใหญ่เลยคือแอปฯ “Meditation” โดยเป็นอีกขั้นของฟีเจอร์ Breath ที่นอกจากจะมาช่วยกำหนดลมหายใจแล้ว ยังช่วยปรับสภาพจิตใจด้วยข้อความเชิงสร้างสรรค์ และแนะนำการทำสมาธิอย่างเป็นระบบโดยชัดเจน
นอกจากแอปฯ Meditation แล้ว ในด้านการออกกำลังกายยังเพิ่มการติดตามการรำไทเก็ก อันเป็นท่วงท่าการออกกำลังกายควบคู่การฝึกสมาธิแบบโบราณของชาวจีน และการเล่นพิลาทิส ที่เป็นกิจกรรมโยคะเชิงสมาธิอีกสองรูปแบบ สามารถติดตามท่วงท่า และให้คำแนะนำในการออกท่าทางได้อย่างแม่นยำ
ในส่วนของแอปฯ และฟีเจอร์อื่น ๆ ที่มีการอัปเดตตามรอบ จะมีดังนี้
Sleep Tracker – ตรวจจับการนอนในแต่ละคืน พร้อมปริมาณออกซิเจนในเลือด เพื่อให้คุณได้รู้ว่าแต่ละคืนคุณนอนหลับได้เพียงพอหรือไม่
Wallet – เพิ่มการรองรับกุญแจ CarKey ซึ่งจะใช้กับ BMW i รุ่นใหม่ที่จะออกปลายปีนี้, เพิ่มการรองรับดิจิทัลล็อก, คีย์การ์ดโรงแรม และ State ID
Home – ปรับเปลี่ยนหน้าตาใหม่ทั้งหมด เข้าถึงห้องและอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น และยังทำหน้าที่เป็น Intercom สื่อสารกับคนในบ้านได้ด้วย
iMessage – เพิ่มการรองรับ Scribble ด้วยการเขียนหน้าจอ Apple Watch แทนการพิมพ์ข้อความด้วยเสียง
Focus – ปรับโหมดการทำงานให้เหมาะสมกับความต้องการของผู้ใช้ในขณะนั้น
https://youtu.be/xlrnxP7XIho
Assistive Touch – ฟีเจอร์การควบคุม Apple Watch รูปแบบใหม่ เพียงใช้การดีดนิ้ว และการเคลื่อนไหวที่ข้อมือ
หน้าปัดใหม่ – เพิ่มหน้าปัด Portrait Photo ทำให้ Apple Watch มีชีวิตชีวามากขึ้น
watchOS 8 จะรองรับการใช้งานร่วมกับ Apple Watch Series 3 ขึ้นไป รวม Watch SE ทั้งนี้บางคุณสมบัติใน watchOS 8 อาจไม่รองรับในอุปกรณ์รุ่นต่ำกว่า Watch Series 6 โดยจะเปิดให้อัปเดตอย่างเป็นทางการปลายปีนี้เป็นต้นไป และจะเปิดให้ทดลองใช้งานในเดือนกรกฎาคมนนี้เป็นต้นไปเช่นกัน
