ข่าวสั้น

เปิดตัว iOS / iPadOS 15 ฉลาดมากขึ้น เป็นตัวเองมากขึ้น และเป็นส่วนตัวมากขึ้น

และแล้ว งาน WWDC21 Apple ได้เปิดตัว iOS และ iPadOS เวอร์ชันประจำปี 2021 เป็นที่เรียบร้อย กับ iOS และ iPadOS 15 ซึ่งครั้งนี้ ทั้งคู่ถูกนิยามภายใต้แนวคิดที่ว่า ฉลาดมากขึ้น เป็นตัวเองมากขึ้น และเป็นส่วนตัวมากขึ้น เพื่อตอบรับต่อเทรนด์ Work From Home ที่การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ยังทำให้หลายคนกลับมาทำงานในออฟฟิศไม่ได้เหมือนเดิม

ฟีเจอร์ใหม่ ๆ จะมีอะไรบ้างนั้น ตามไปชมกันเลยครับ!

FaceTime ใหม่ ท้าชน Microsoft Teams/Zoom !!!

ของใหญ่ชิ้นแรก เริ่มที่แอปฯ FaceTime ที่ปรับปรุงใหม่หมดจด เพื่อท้าชนแอปฯ Video Conference ที่กำลังมาแรงในสถานการณ์แบบนี้

จุดแรกที่มีการปรับ คือ สถานการณ์เวลาใช้ FaceTime ในการทำงาน FaceTime Group Call สามารถจัดระเบียบหน้าสนทนาได้แล้ว จากเดิมที่แสดงผลเป็น Stack View ในคราวนี้สามารถตั้งเป็น Grid View เพื่อดูหน้าผู้สนทนาทั้งหมดได้แล้ว พร้อมทั้งรองรับ Spatial Audio ช่วยปรับให้เสียงสนทนามีมิติและความสมจริงมากขึ้น มี Voice Isolation ช่วยตัดเสียงรบกวนรอบข้างแบบอัตโนมัติ และปรับให้เสียงสนทนามีความคมชัดมากกว่าปกติ และมี Portrait Mode ที่ช่วยเบลอฉากหลังให้แบบอัตโนมัติเช่นเดียวกับบน Microsoft Teams และ Zoom

นอกจากการปรับปรุงฝั่งอุปกรณ์ Apple แล้ว ยังมีฟีเจอร์ใหม่ที่เรียกว่า FaceTime Link โดยฟีเจอร์นี้จะเปิดให้โฮสต์สามารถตั้งห้อง FaceTime Group Call เพื่อประชุมออนไลน์ หรือทำ Webminar ได้ด้วย โดยเมื่อตั้งห้องแล้ว สามารถแชร์ลงปฏิทินได้แบบอัตโนมัติ ส่งข้อความใน Line, Whatsapp, Telegram หรือ iMessage เพื่อให้เข้าร่วมสนทนาได้ และที่สำคัญยังสามารถส่งหาผู้ใช้ Android, HarmonyOS, ChromeOS และ Windows 10 ได้ด้วย ซึ่งผู้ใช้กลุ่มนี้จะสามารถเข้าร่วม FaceTime Group Call ได้ผ่านทางเบราว์เซอร์โดยตรง โดยไม่จำเป็นต้องติดตั้งแอปฯ เพิ่มเติมแต่อย่างใด และยังสามารถเปิดกล้อง/ไมโครโฟน เพื่อร่วมพูดคุยได้เหมือนกับการโทรบนอุปกรณ์ Apple ตามปกติ

Apple-iPhone12Pro-iOS15-FaceTime-expanse-groupfacetime-060721

ส่วนสถานการณ์ในการเล่น FaceTime มาพร้อมกับฟีเจอร์ใหม่ที่เรียกว่า “SharePlay” โดยระหว่างสนทนา ผู้สนทนาสามารถเปิดเพลง ภาพยนตร์ หรือรายการโทรทัศน์ แล้วเล่นไปพร้อมกันแบบ in-sync ได้ทันที โดยฟีเจอร์นี้นอกจากจะรองรับ Music และ Apple TV เป็นค่ามาตรฐานแล้ว ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการพัฒนาฟีเจอร์ร่วมกับผู้ให้บริการสตรีมมิ่งและวิดีโอแชร์ริ่งหลายราย อาทิ Disney+, ESPN+, HBO Max, Tik Tok รวมถึง Twitch เป็นต้น และมีการเปิด SharePlay API ให้ผู้ให้บริการสตรีมมิ่ง วิดีโอแชร์ริ่ง หรือผู้ให้บริการมิวสิคสตรีมมิ่งสามารถนำไปพัฒนาต่อได้ด้วย

Notification รกหรอ? ให้เราจัดการให้สิ

ของใหญ่ชิ้นที่สองคือระบบจัดการความเป็นส่วนตัวระหว่างการใช้งาน ฟีเจอร์นี้จะประกอบไปด้วยสองส่วน ได้แก่

Notification Summary โดยใน 1 วัน iOS และ iPadOS จะรวม Notification ที่ไม่จำเป็น เช่น Notification แจ้งเตือนจากเกม, แอปฯ ดูหนัง, แจ้งโปรโมชัน, ข่าวสาร หรือแอปฯ ที่ไม่สำคัญเข้าไว้เป็นกลุ่มเดียว คงเหลือแต่ Notification ที่สำคัญ ๆ อาทิ ข้อความเข้า, สายเข้า, ระบบรักษาความปลอดภัยของบ้าน และแอปฯ ติดตามพัสดุเป็นต้น ฟีเจอร์นี้จะช่วยอำนวยความสะดวกให้เราในยามที่ไม่ได้หยิบจับตัวเครื่องเป็นเวลานาน เช่นระหว่างที่เราโฟกัสกับการทำงาน หรือระหว่างนอนเป็นต้น

ฟีเจอร์นี้จะพ่วงความสามารถไปกับฟีเจอร์ที่สอง นั่นคือ

Focus เป็นฟีเจอร์ต่อขยายของ Do Not Disrupt โดยระบบจะอนุญาตให้ผู้ใช้สามารถตั้ง Focus Profile เพื่อแยกสถานการณ์การทำงานได้ เช่น ระหว่างทำงานที่ออฟฟิศ ทำงานที่บ้าน เวลาพักผ่อน เวลาเวิร์คเอาท์ หรือเวลานอนเป็นต้น โดยที่ในแต่ละโปรไฟล์ จะสามารถตั้งค่าการแจ้งเตือน, Home Screen และการตั้งค่าพื้นฐานของตัวเครื่องแยกกันได้แบบอิสระ เช่น เวลางาน อนุญาตให้สายเข้าได้ อนุญาตให้แอปฯ ทำงาน เช่น Microsoft Teams/Slack/Zoom/Saleforce สามารถส่ง Notification ได้ แต่ไม่อนุญาตให้ Line/Whatsapp/iMessage ส่งข้อความหาได้ ไม่อนุญาตให้แอปฯ อื่น ๆ สามารถส่งการแจ้งเตือนใด ๆ เข้ามาได้ หรือเวลา Workout ให้ตั้งค่าปฏิเสธสายเข้าทั้งหมด เปิดเพลง Workout Playlist และตั้ง Home Screen เป็นแอปฯ Fitness/Tracking ก็ได้ ทั้งนี้ Focus Profile จะแชร์ร่วมกันระหว่าง iOS และ iPadOS รวมถึง watchOS, tvOS และ macOS เพื่อให้ผู้ใช้ได้ประโยชน์สูงสุดจากฟีเจอร์นี้

เล่นให้สนุก ท่องโลกก็ต้องสนุกมากขึ้นด้วย

ของใหญ่ชิ้นที่ 3 คือการปรับปรุงประสบการณ์ในการใช้งานให้สนุกมากขึ้น ไร้รอยต่อระหว่างอุปกรณ์มากขึ้น และให้ผู้ใช้เล่นได้สนุกมากซึ่งมีหลากหลายฟีเจอร์ อาทิ

แผนที่ 3 มิติ – Apple Maps ใน iOS และ iPadOS 15 (รวมถึง macOS Monterey) จะมีการเพิ่มแผนที่ 3 มิติเข้ามา โดยเริ่มจากเมืองใหญ่ ๆ ของสหรัฐอเมริกาเป็นลำดับแรก แผนที่ใหม่จะมาพร้อมรายละเอียดของถนน ทางแยก ทางม้าลาย ทางด่วน และไฮเวย์แบบชัดเจนมากขึ้น เห็นระดับของพื้นที่ชัดเจนมากขึ้น และเห็นรายละเอียดของอาคาร, สิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ มากขึ้น รวมถึงเวลาหลงทาง สามารถสแกนอาคารรอบข้าง เพื่อคำนวณหาตำแหน่งบนแผนที่ และแนะนำเส้นทางที่ต้องเดินทางต่อไปได้ ที่สำคัญยังมาพร้อม Transit Navigation โดย Maps จะแจ้งเตือนสถานีที่ต้องลงผ่านตัวเครื่องได้ทันทีโดยไม่ต้องรอฟังเสียงประกาศจากบนขบวนรถ สามารถเลือกสายระบบที่ใช้งานบ่อย หรือใช้งานเป็นหลักได้เป็นต้น ฟีเจอร์ทั้งหมดของ Apple Maps ใหม่ จะพร้อมใช้บน Apple CarPlay ด้วย โดยจะเริ่มปล่อยให้อัปเดตปลายปีนี้

Live Text – ฟีเจอร์สำหรับอ่านข้อความจากรูปภาพ โดย Apple ระบุว่าได้ใช้ AI ประสิทธิภาพสูง ในการทำให้ตัวเครื่องสามารถสแกนภาพถ่ายแล้วให้ผู้ใช้เลือกข้อความบนภาพได้ทันที ตัวอย่างเช่น เวลาจดบันทึกบนกระดาน หรือเวลาเรียนออนไลน์ ถ้าจดไม่ทันสามารถแคปหน้าจอแล้วมาเลือกก็อปข้อความในภายหลังได้ หรือถ้าถ่ายเบอร์โทรศัพท์ Live Text สามารถอ่านเบอร์แล้วให้ผู้ใช้กดโทรออกได้ทันทีโดยไม่ต้องมานั่งกดเบอร์ใหม่

Translate – ครั้งแรกของแอปฯ Translate บน iPad สามารถแปลข้อความได้อย่างรวดเร็วแบบ Realtime รวมถึงสามารถเลือกข้อความบนรูปภาพผ่าน Live Text แล้วนำมาแปลได้ทันที

Multitasking ใหม่ – iPadOS 15 สามารถแบ่งหน้าจอการทำงานแบบบน macOS ได้แล้ว รวมถึงยังมาพร้อมกับ Shelf (เทียบเท่า App Dock บน macOS) ที่ใช้แสดงรายการแอปฯ ที่เปิดใช้งานอยู่ เพื่อสลับการทำงานได้อย่างรวดเร็ว

Home Screen, Widget และ App Library – ใน iPadOS 15 จะมีการยกความสามารถของ iOS 14 มาสามอย่าง คือ Home Screen ใหม่ ที่สามารถจัดลำดับหน้า Home Screen ได้อิสระ รวมถึงลบหน้า Home Screen ที่ไม่ต้องการออกได้ รวมถึงเปิดให้ผู้ใช้สามารถวาง Widget บน Home Screen ได้อย่างอิสระ และมี Widget ขนาดใหญ่พิเศษ 8×4 ช่อง ให้เลือกใช้งาน และนำ App Library มาไว้บน iPadOS เป็นครั้งแรก โดยผู้ใช้สามารถเรียก App Library ได้จากการลาก Home Screen ไปสุดจอ หรือกดเรียกโดยตรงจากบน Dock

QuickNote – จดบันทึกโน้ตอย่างรวดเร็ว เพียงลากขึ้นจากขอบจอด้านล่าง แล้วพิมพ์หรือเขียนเพื่อสร้างเป็น Note ใหม่ได้ทันที ฟีเจอร์ QuickNote รองรับทั้งบน iPadOS และ macOS แต่บน iOS จะทำได้แค่ดู QuickNote เท่านั้น

Apple-iPhone12Pro-iOS15-wallet-ID-060721

ID Card และ State ID – ในแอปฯ Wallet จะรองรับการเพิ่มการ์ดใหม่สองรูปแบบ ได้แก่ คีย์การ์ด สำหรับใช้ร่วมกับดิจิทัลล็อก หรือใช้กับห้องพักของโรงแรม โดยเบื้องต้นจะรองรับกับโรงแรมเครือ Hyatt และ Disney Resort ทั่วโลก และอุปกรณ์ดิจิทัลล็อกที่รองรับ HomeKit บางรุ่น และ State ID หรือบัตรที่รัฐออกให้ เช่น บัตรประจำตัวประชาชน หรือใบขับขี่ โดยผู้ใช้สามารถเพิ่ม State ID ได้โดยการสแกนข้อมูลจากบัตรตัวจริง จากนั้น iOS จะทำการบันทึกข้อมูลทั้งหมดลงใน Secure Enclave แบบเดียวกับการเพิ่มบัตรเครดิตบน Apple Pay เวลาใช้งาน เพียงทาบตัวเครื่องขณะเปิดใช้ State ID ตัวแอปฯ จะแจ้งทันทีว่าจะมีการส่งข้อมูลประจำตัวให้กับเจ้าหน้าที่ของรัฐ แล้วให้ใช้การยืนยันตนผ่าน FaceID หรือ TouchID ในการยืนยันการส่งข้อมูลเพียงเท่านั้น Apple ยืนยันว่าข้อมูลทั้งหมดจะถูกเข้ารหัสเป็นอย่างดี และไม่ว่าใครก็ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลนี้ได้ถ้าผู้ใช้ไม่ยินยอม

ที่ Apple ความเป็นส่วนตัวคือที่ 1

ด้านความเป็นส่วนตัว iOS และ iPadOS 15 มีการเพิ่มฟีเจอร์ด้านความเป็นส่วนตัวหลายรายการ ดังนี้

  • Siri – ปรับให้ Siri ทำงานบนตัวเครื่องโดยไม่ใช้อินเทอร์เน็ต (processed in device) เป็นลำดับแรก โดยอาศัยการคำนวณจาก Neural Engine บน Apple A Series และ Apple M1 ผลคือผู้ใช้จะสามารถสั่งการต่าง ๆ เกี่ยวกับตัวเครื่องได้อย่างรวดเร็ว อาทิ ตั้งเวลา จับเวลา เปิดแอปฯ เปลี่ยนการตั้งค่าบางอย่าง ได้ทันทีโดยไม่ต้องส่งคำสั่งไปประมวลผลบนอินเทอร์เน็ต
  • Mail Privacy Tracking – ปรับให้ Mail ส่งข้อมูลหลอก ๆ กลับไปหาผู้ส่งอีเมล และปิดบัง IP Address ที่เปิดอ่านอีเมล เพื่อเพิ่มความเป็นส่วนตัว
  • Safari – เข้ารหัส URL และซ่อน IP Address ขณะทำการเรียกหน้าเว็บไซต์, สามารถซ่อน E-Mail ในฟอร์มได้, ป้องกัน Tracking ได้ชัดเจนมากขึ้น (ต้องใช้งานร่วมกับ iCloud+)
Apple_iPhone12Pro-iOS15-settings-privacy-app-privacy-report_060721
  • App Privacy Report – แสดงรายการเรียกใช้ฟีเจอร์ความเป็นส่วนตัวของตัวเครื่องแบบละเอียด และสามารถปรับแต่การติดตามการใช้งาน การ Tracking และอื่น ๆ ได้ทันที

รุ่นไหนใช้งานได้บ้าง

เรียกว่าทำเอาใจหายใจคว่ำกันเลยทีเดียวเมื่อ Apple เปิดตัว iOS และ iPadOS เวอร์ชันใหม่ มาในรอบนี้ก็ใจชื้นเล็กน้อยเมื่อไม่เป็นไปตามข่าวลือ เพราะ Apple ยืนยันว่า อุปกรณ์ที่ใช้ iOS / iPadOS 14 ได้ จะสามารถใช้งาน iOS / iPadOS 15 ได้เหมือนกัน

โดย Apple ปล่อยตัวทดสอบแรกให้นักพัฒนานำไปใช้งานแล้ววันนี้ ส่วนผู้ใช้งานทั่วไป สามารถเข้าร่วมทดสอบได้ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมเป็นต้นไป และอัปเดตตัวเต็มได้ในช่วงปลายปีนี้

คณะแกดกวน #teamgadguan

อริญชย์ ชวะโนทัย (iBehemortHz)

เด็ก ป.โท ผู้สนใจในโลกดิจิทัลและสังคม และคอยเฝ้ามองการเปลี่ยนแปลงผ่านสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ที่ชื่อว่า "หน้าจอ" :)