หนึ่งในฟีเจอร์ใหญ่ของ iOS / iPadOS 15 รวมถึง macOS Monterey ที่เป็นจุดขายหลักคือ Private Relay หรือบริการปกปิด IP Address ที่เป็นส่วนขยายเสริมของ iCloud+ เป็นฟีเจอร์ที่ช่วยป้องกันไม่ให้ Tracker ของเว็บไซต์ และหน่วยงานรัฐ สามารถแทรกแทรงเข้าถึง IP Address ของตัวเครื่องได้ ฟีเจอร์นี้แม้จะทำมาเพื่อความปลอดภัย แต่แล้วก็มีปัญหากับบางรัฐฯ และบางประเทศที่มีการเข้มงวดเรื่องข้อมูลอย่างหนัก จนทำให้ Apple ประกาศปิดฟีเจอร์นี้ไปแล้วกว่า 10 ประเทศ
Apple อธิบายว่าหลักการทำงานของ Private Relay จะคล้าย ๆ บริการ VPN นั่นคือจะเป็นการใช้เซิร์ฟเวอร์จำนวนหนึ่งมาบัง IP Address ตัวจริงไว้ แล้วส่งผ่านข้อมูลจากเครื่อง ไปเข้าเซิร์ฟเวอร์ Private Relay เพื่อเปลี่ยน IP Address ไปเรื่อย ๆ จนถึงเว็บปลายทาง เมื่อถึงตรงนั้นแล้ว เว็บไซต์ ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต และหน่วยงานรัฐ จะไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลการใช้งานและประวัติการดูเนื้อหาบนเว็บไซต์เพื่อนำเสนอโฆษณาได้ตรงจุด หรือไม่สามารถจับเก็บข้อมูลการใช้งาน สอดส่อง และติดตามการใช้งานของประชาชนได้อีกต่อไป
แต่ปัญหาคือฟีเจอร์นี้ ด้วยความจำเป็นต้องใช้เซิร์ฟเวอร์จำนวนหนึ่งมาบดบัง IP Address รวมถึง Apple มองว่า Private Relay เป็นบริการ VPN จึงขัดต่อหลักปฏิบัติในบางประเทศ ที่ต้องเปิดเผย IP Address อย่างชัดเจน เพื่อความสะดวกในการติดตามบุคคล และสอดส่องพฤติกรรมในการใช้งาน ทำให้ Apple ตัดสินใจเลือกไม่ให้บริการ Private Relay ในบางประเทศ อันได้แก่ จีน, เบลารุส, โคลอมเบีย, อียิปต์, คาซัคสถาน, ซาอุดิอาระเบีย, เติร์กเมนิสถาน, อูกันดา และฟิลิปปินส์
ทั้งนี้ Apple เผยเพิ่มเติมว่าฟีเจอร์ Private Relay จะเป็นการใช้เซิร์ฟเวอร์ของผู้ให้บริการรายที่สามในการให้บริการบดบัง IP Address ก่อนส่งต่อไปยังเว็บไซต์ปลายทาง ซึ่งจากการทดสอบโดยผู้ใช้งาน iOS 15 Beta และ macOS Monterey Beta พบว่าเซิร์ฟเวอร์ดังกล่าวเป็นของ Cloudfare Warp ที่ให้บริการแอปฯ 1.1.1.1 และ Warp by Cloudfare อยู่ก่อนแล้ว จึงคาดว่า Apple ใช้วิธีการบดบัง IP Address ตัวจริงที่เซิร์ฟเวอร์ Apple ก่อน แล้วถึงส่งต่อให้ Cloudfare Warp จัดการส่งให้เว็บไซต์ปลายทางต่อไป
