และแล้วก็มาถึงไฮไลท์ประจำงานกับ iPhone 13 Series ที่รอบนี้ถือเป็นรอบ Minorchange ยังไม่มีอะไรปรับไปจาก iPhone 12 ไปมากนัก และก็ยังคงพากันมา 4 หน่อเหมือนเดิม จะเป็นยังไงนั้น ตามไปดูกันต่อไปได้เลย
iPhone 13 / 13 mini
เริ่มกันทีสองรุ่นล่างกันก่อนกับ iPhone 13 และ iPhone 13 mini ปีนี้ทั้งสองรุ่นมีการปรับรายละเอียดเล็กน้อยมาก นั่นคือปรับตำแหน่งกล้องเล็กน้อย เพราะตัว Ultra Wide มาพร้อมระบบกันสั่นแบบ Sensor Shift จึงต้องมีการปรับตำแหน่งภายในเพื่อให้วางโมดูลได้ นอกนั้นใช้คำว่าแทบไม่ได้ปรับอะไรจาก iPhone 12 เลยดีกว่า นอกจากหน้าจอ Super Retina XDR ที่มีขนาดติ่งหดลง 20% เหลือเพียงแค่องค์ประกอบหลัก ๆ ของ Face ID เพียงเท่านั้น
ในส่วนของกล้อง iPhone 13 มาพร้อมเลนส์คู่เหมือนทุกครั้ง แต่รอบนี้เลนส์ทั้งหมดรองรับการถ่าย Nightmode เรียบร้อยแล้ว จากเดิมที่รองรับแค่เลนส์ Wide ปกติ และในโหมดการถ่ายวิดีโอ มีโหมดใหม่ที่มีชื่อว่า Cinematic เพิ่มเข้ามา เพื่อให้ช่างภาพมืออาชีพสามารถถ่ายวิดีโอพร้อมควบคุมการทำงานของกล้องได้แบบอิสระเสมือนกำลังถ่ายภาพยนตร์เลยทีเดียว
ที่เหลือก็ไม่ได้ต่างอะไรกับ iPhone 12 แล้ว นอกจากแบตเตอรี่ที่มีความจุมากขึ้น รองรับระบบชาร์จเร็วและ MagSafe พร้อมทั้งกันน้ำกันฝุ่นในระดับ IP68 และรองรับ 5G ทุกเครือข่ายกว่า 60 ประเทศทั่วโลก
iPhone 13 Pro / 13 Pro Max
มาต่อกันที่รุ่นใหญ่อย่าง iPhone 13 Pro และ 13 Pro Max กันบ้าง รอบนี้ iPhone 13 Pro เน้นจุดขายหลักที่กล้องเหมือนทุกปี พร้อมด้วยฟีเจอร์ใหม่ของหน้าจออย่าง Super Retina XDR with Adaptive ProMotion ใช่ครับ นี่เป็นครั้งแรกของ iPhone ที่ใส่หน้าจออัตรารีเฟรชเรตสูงเข้ามา โดยตัวจอรองรับอัตรารีเฟรชสูงสุดที่ 120 Hz สามารถปรับได้ตามเนื้อหาบนจอ เช่นเวลาดูเนื้อหาปกติ จอจะรีเฟรชที่ 10-20 Hz พอเริ่มมีการใช้งานก็จะปรับเป็น 60-120 Hz ตามการใช้งาน ซึ่งผลคือหน้าจอจะลื่นขึ้นมาก ไม่มีอาการแลคของหน้าจอที่เกิดจากอัตรารีเฟรชต่ำอีกต่อไป
ในส่วนของกล้อง iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max ยังคงใช้กล้องความละเอียดสูง 12 ล้านพิกเซลเหมือนเดิม แต่รอบนี้ปรับเหมือน iPhone 13 คือเลนส์ Wide ใช้ระบบกันสั่นแบบ Sensor Shift ในขณะที่เลนส์ Tele/UltraWide จะยังใช้ OIS ตามปกติ มี LiDAR Scanner สำหรับตรวจจับวัตถุ และรองรับการถ่าย Nightmode จากทุกเลนส์ ในแง่ของฟีเจอร์ไม่ต่างจาก iPhone 13 ตัวเล็ก คือมีโหมด Cinematic สำหรับการถ่ายภาพยนตร์ แต่ที่จะพิเศษกว่านั่นคือรุ่น Pro จะมีโหมดใหม่สองโหมด คือโหมด Macro สำหรับใช้ถ่ายภาพมาโคร และโหมด ProRes Video สำหรับใช้ถ่ายวิดีโอความละเอียดสูง ซึ่งจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของผู้ใช้งานในอนาคต
ที่เหลือก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจาก iPhone 12 Pro เช่นกัน เรียกว่ารอบนี้ปรับน้อย ๆ แบบพองามดีกว่า
ขายเมื่อไหร่?
รอบนี้เหมือน Apple จะอวยยศให้เราขึ้นมาอยู่ Tier 2 จริง ๆ สักที เพราะตามกำหนดการ Apple จะเปิดให้จองเครื่องวันที่ 1 ตุลาคมที่จะถึงนี้ พร้อมกันทั้งบน Apple Store และเครือข่ายหลักทั้ง AIS, dtac, TrueMove H และรับเครื่องพร้อมเปิดขายอย่างเป็นทางการ 8 ตุลาคมนี้เป็นต้นไป เรียกว่ารอบนี้ขายเร็วกว่าปกติหลายสัปดาห์เลยทีเดียว
ในส่วนของราคาก็ปรากฎตามภาพด้านบน โดย iPhone 13/13 mini ปีนี้ไม่มีตัวเลือก 64 GB แล้ว เริ่มต้น 128 GB และเพิ่มตัวเลือก 512 GB ให้อีกหนึ่งตัวเลือกเหมือนกับรุ่น Pro และในส่วนของรุ่น Pro ก็มีตัวเลือก 1 TB ให้เลือกสำหรับคนอยากได้ความจุเยอะ ๆ อีกหนึ่งรุ่น
เอาเป็นว่า สั้น ๆ 8 ตุลาคมนี้ เจอกันครับ 😀