สวัสดีจาก Cupertino (ทิพย์) ครับทุกคน กับงาน WWDC 2022 หรือย่อมาจาก Worldwide Developers Conference ซึ่งในปีนี้ยังเป็นการจัดงานออนไลน์ฟรีให้กับนักพัฒนาและผู้ชมทั่วโลก แต่ในขณะเดียวกันยังเปิดให้นักพัฒนาได้ทำการสัมนาแบบ On Stie ได้จริงที่ Apple Park ครั้งแรกในรอบ 2 ปีกว่าๆ อีกด้วย เริ่มต้นด้วยการแนะนำ Developer Center ที่เปิดให้บริการครั้งแรกที่ Apple Park ในงาน WWDC นี้ เพื่อรองรับการใช้งานของชุมชนนักพัฒนา ซึ่งมีมากกว่า 34 ล้านคนแล้วในวันนี้ และนี่คือของใหม่ที่เปิดตัวในคืนนี้ครับ
iOS 16
เริ่มต้นด้วย Lock Screen ที่ปรับปรุงใหม่ทั้งหมด โดยที่สามารถปรับได้ทั้งฟอนต์ กราฟฟิก รูปภาพ และยังสามารถเพิ่ม Widget เพื่อดูข้อมูลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสภาพอากาศ หรือวงแหวนการออกกำลังกายเพิ่มเติมทันทีจาก Lock Screen โดยที่ทั้งหมดนี้สามารถตั้งค่าได้อย่างง่ายดายเช่นเดียวกับ Apple Watch นอกจากนี้การแจ้งเตือนยังสามารถแสดงข้อมูลเพิ่มเติมนอกจากการแจ้งเตือน โดยที่เปิดโอกาสให้นักพัฒนาสามารถใส่ข้อมูลเพิ่มเติมต่างๆ บน Lock Screen ได้ในชื่อของ “Live Activities” นอกจากนี้ในโหมด Focus ยังสามารถเลือกภาพพื้นหลังที่สามารถเข้ากับหน้าจอ Focus ในโหมดต่างๆ ได้
ต่อมาคือเรื่องของ iMessage ที่สามารถแก้ไข, ยกเลิกการส่ง, ตั้งค่าว่ายังไม่ได้อ่านข้อความนั้นได้แล้ว และนอกจากนี้ยังเปิด Shared with You API ให้นักพัฒนาสามารถสร้างเนื้อหาในแอป Message เพิ่มได้ ในขณะที่ Facetime ได้เพิ่มเพิ่มฟีเจอร์ในการสามารถเพิ่มแอปที่รองรับ SharePlay ได้ทันทีขณะที่กำลัง FaceTime นอกจากนี้ยังรวบรวมแอพที่รองรับแล้วใน App Store รวมทั้งสามารถส่งลิงก์หรือวิดีโอที่ต้องการแชร์ให้เพื่อนดูด้วย SharePlay ผ่าน iMessage ได้
ระบบป้อนตามคำบอก (Dictation) ถูกพัฒนาให้สามารถพูดและพิมพ์ข้อความผ่านคีย์บอร์ดไปพร้อมๆ กันได้แล้ว เพื่อความสะดวกในการพิมพ์ข้อความที่รวดเร็วมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังอัพเดต Live Text ให้สามารถอ่านและคัดลอกคำในวิดีโอได้แล้ว และยังสามารถคัดลอกวัตถุในรูปเพื่อนำใปใช้ในแอพอื่นๆ ได้
Wallet ยังอัพเดตเพิ่มเติม โดยที่เพิ่มพื้นที่รองรับ Wallet ID ในอเมริกา สามารถแชร์กุญแจผ่านแอปอื่นๆ ได้ แอปเปิลเปิดมาตรฐานการแชร์นี้ให้กับเจ้าอื่นสามารถนำไปใช้ได้ด้วย เพิ่มความสามารถในการ Tap to Pay on iPhone ร้านค้าสามารถใช้ iPhone เป็นเครื่องรับเงินได้ในอเมริกา และยังเปิดบริการ Apple Pay Later ที่สามารถเปิดให้ผ่อนได้แล้ว โดยนักพัฒนาไม่ต้องทำอะไรเพิ่มกับแอปที่รองรับ Apple Pay เดิม โดยที่จะแจ้งเตือนผู้ใช้เมื่อใกล้ถึงเวลาจ่ายค่าบริการ รวมทั้งยังเพิ่มฟีเจอร์ในการติดตามออเดอร์ในการสั่งสินค้าออนไลน์ต่างๆ อีกด้วย
Maps ถูกอัพเดตให้เพิ่มแผนที่ดีไซน์ใหม่ในอีก 11 ประเทศ (แน่นอนว่ายังไม่มีประเทศไทย) รวมทั้งเพิ่มรายละเอียดในแผนที่ 3 มิติเพิ่มเติมใน 6 เมืองของอเมริกา ช่วยวางแผนการเดินทางโดยการเพิ่มจุดแวะได้มากถึง 15 จุด และยังเปิดโอกาสให้นักพัฒนาสามารถนำแผนที่ 3 มิติรวมทั้ง Live View ไปใช้งานในแอพตัวเองได้อีกด้วย
และอีก 1 ไฮไลท์ที่สร้างความฮือฮาอย่างมาก (ผู้เขียนอ้าปากค้างนานมากครับตรงนี้ยอมรับเลย) นั่นคือ CarPlay เวอร์ชั่นใหม่ล่าสุด ที่ก้าวข้ามความเป็นเพียงระบบความบันเทิงบนรถยนต์ แต่ยังพัฒนาขึ้นโดยการผสานกับรถยนต์อย่างสมบูรณ์แบบมากขึ้น นั่นคือสามารถแสดงข้อมูลเพิ่มเติมทั้งความเร็ว มาตรวัดรอบ เกียร์ ระดับน้ำมันที่ใช้ อุณหภูมิของแอร์บนรถยนต์ โดยที่ผู้ใช้งานสามารถดีไซน์ Widget และหน้าตาของแผงหน้าปัดให้มีดีไซน์เฉพาะตัวมากยิ่งขึ้น โดยที่รถยนต์ที่รองรับ CarPlay รุ่นใหม่นี้จะทะยอยเปิดตัวในรถยนต์รุ่นปี 2023 เป็นต้นไป
นอกจากนั้นยังมีคุณสมบัติใหม่ๆ ที่เพิ่มเข้ามาใน iOS 16 อย่างเช่นคุณสมบัติที่ช่วยในการเข้าถึงสิ่งต่างๆ ได้อย่างเท่าเทียม เช่น ระบบตรวจจับประตูสำหรับผู้พิการทางสายตา หรือระบบแสดงผลหน้าจอ Apple Watch ขยายใหญ่บนหน้าจอของ iPhone ได้ เพื่อช่วยเหลือผู้ที่มีความบกพร่องทางการมองเห็น
iOS 16 ยังปรับปรุงการใช้งานในแอพเดิมๆ ให้ใช้งานได้คล่องตัวขึ้น อย่างเช่นในแอพเตือนความจำ เราสามารถสร้าง Template รายการต่างๆ เตรียมไว้ได้ หรือในแอพโน้ต ที่สามารถใช้รหัสปลดล็อกเครื่อง ปลดล็อกข้อความโน้ตที่มีได้ทุกอันแล้ว ไม่ต้องสร้างรหัสผ่านแยก และยังล็อกอัลบั้ม Hidden และ Recently Deleted (ภาพที่ซ่อนไว้และภาพที่เพิ่งลบ) ในแอพรูปภาพได้ โดยใช้เพียง Touch ID หรือ Face ID เท่านั้นด้วย
watchOS 9
เริ่มต้นด้วยการเปิดตัวหน้าปัดนาฬิกาใหม่ 4 รูปแบบ ได้แก่
-
- Astronomy
- Lunar Calendar หน้าปัดปฏิทินจันทรคติ สำหรับปฏิทินจีน, อิสลาม ฯลฯ
- Playtime หน้าปัดสำหรับเด็ก
- Metropolitan
นอกจากนี้ยังเปิด API ให้ผู้พัฒนาสามารถปรับแต่งปุ่มในแอพได้มากขึ้น และยังใช้ Maching Learning ในการคำรวณการเหวี่ยงแขนเพื่อให้ได้ค่าต่าๆ ที่แม่นยำมากขึ้น สามารถดูค่าต่างๆ ระหว่างออกกำลังกายได้เพิ่มเติมมากขึ้น สามารถตั้ง Target Zone ให้จับค่าการเต้นของหัวใจให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมระหว่างวิ่งได้ และยังใช้ตรวจจับการออกกำลังกายแบบไตรกีฬาได้ด้วย และยังเพิ่มความสามารถในการจับการนอนหลับ โดยใช้ Sleep Stages ใช้สัญญาณจากเซนเซอร์และ Machine Learning ตรวจจับสถานะการนอนหลับในแต่ละ Stage และ Cycle ได้ละเอียดขึ้น และยังใช้ iPhone ประเมินแคลลอรี่ต่างๆ ระหว่างวันได้โดยที่ไม่ต้องใช้ Apple Watch
และยังมีฟีเจอร์ใหม่ในชื่อ Medications นั่นคือเป็นระบบช่วยเตือนให้กินยาและวิตามินตามเวลาที่ตั้งไว้ได้ โดยที่สามารถใช้งานได้โดยที่ใช้เพียง iPhone เท่านั้น และสามารถใช้กล้องของ iPhone เพื่อแสกนฉลากยา รวมถึงดูข้อมูลการรับประทานยาชนิดนั้นได้ๆ เช่น แจ้งเตือนว่ายาต้องกินปริมาณเท่าใด หรือห้ามกินยาชนิดนี้พร้อมกับการดื่มแอลกอฮอลล์ เป็นต้น รวมทั้งยังสามารถเตือนคนในครอบครัวให้กินยาได้ผ่าน Family Sharing อีกด้วย
มาถึงอีก 1 เซอร์ไพรส์ เนื่องจาก Apple (ไม่ค่อย) เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในงาน WWDC แต่ปีนี้ได้เปิดตัวชิปจากเทคโนโลยี Apple Silicon ชิปใหม่ มาในชื่อชิป Apple M2 ที่สร้างขึ้นใหม่บนสถาปัตยกรรม 5 นาโนเมตรที่ปรับปรุงให้ดีขึ้นจาก M1 เดิม มี Bandwidth กว้างขึ้น Performance Core เร็วขึ้น กราฟฟิกมีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น และประหยัดพลังงานมากขึ้นจาก M1 และผลิตภัณฑ์ที่ได้รับเกียรติให้ติดตั้งชิป M2 2 ชิ้นแรก นั่นคือ … MacBook Air M2 และ MacBook Pro 13” M2 (รายละเอียดเพิ่มเติมเข้าชมได้ที่ลิงค์ด้านล่างครับ)
https://gadguan.com/news/14490
macOS Ventura
เริ่มต้นด้วยความสามารถในการจัดระเบียบหน้าต่างโปรแกรมต่างๆ ในชื่อของ Stage Manager ที่สามารถย้ายหน้าต่างแอปที่กำลังเปิดอยู่ และไม่ได้ใช้ไปด้านข้างหน้าจอ และสามารถเรียกกลุ่มหรือหน้าต่างที่เปิดอยู่ขึ้นมาใช้ได้ สามารถจัดกลุ่มแอปที่ใช้ด้วยกันให้เปิดขึ้นมาพร้อมกันได้เช่นกัน Spotlight ก็สามารถค้นหา Shortcut, รูปภาพ และข้อความ Live Text ในภาพได้ รองรับใน iOS และ iPadOS ด้วย รวมถึงมีปุ่ม Spotlight บนหน้าโฮมใหม่ด้วย
อีกความสามารถใหม่นั่นคือ Continuity นั่นคือการที่สามารถใช้ฟีเจอร์ Handoff ร่วมกับ Facetime ในการสลับกล้องระหว่างอุปกรณ์ Apple ที่อยู่ใกล้เคียงกัน และนอกจากนี้ยังสามารถใช้กล้อง iPhone มาเป็นกล้องเว็บแคมให้กับ Mac แบบไร้สาย (หมดข้อครหาว่ากล้องหน้า Mac คุณภาพต่ำไปได้อย่างหมดจดเลยทีเดียว) รองรับตั้งแต่ iPhone XS และ iPhone XR และนอกจากนี้ตั้งแต่ iPhone 11 ขึ้นไปรับสามารถใช้ฟีเจอร์ Center Stage จัดตำแหน่งภาพให้ตัวเราและบุคคลอื่นอยู่ตรงกลางเฟรมด้วย เมื่อใช้เป็นกล้อง FaceTime และยังสามารถใช้ Desk View ในการใช้กล้อง Ultrawide จับภาพโต๊ะทำงานหรือพื้นที่มุมกว้างไปพร้อมกับหน้าของเรา และแชร์ให้อีกฝ่ายดูพร้อมกัน 2 มุมกล้องได้
นอกจากนี้ความสามารถอื่นๆ เช่น การรองรับการเล่นเกมผ่าน Metal 3 ที่สามารถรันเกมได้อย่างไหลลื่นแม้จะใช้ MacBook Air, Safari ที่สามรถแชร์เว็บที่กำลังเปิดให้เพื่อนดูได้ผ่าน SharePlay รวมทั้งยังใช้ Passkeys ใช้การยืนยันตัวตนผ่าน Touch ID หรือ Face ID แทนพาสเวิร์ดเดิมๆ ได้ และ Mail ที่ปรับปรุงใหม่ สามารถกำหนดเวลาและยกเลิกการส่งอีเมลได้ เป็นต้น
iPadOS 16
เริ่มต้นด้วยที่ iPad จะมีแอประดับเดสก์ท็อป เหมือนในคอมพิวเตอร์ (Desktop-class) รองรับ Undo-Redo (เลิกทำ-ทำซ้ำ) สิ่งต่างๆ ได้ทั้งระบบ ไม่จำกัดเฉพาะแค่ในแอปอีกต่อไป สามารถแก้ไขนามสกุลไฟล์ (File extension), ดูขนาดโฟลเดอร์, จัดเรียงข้อมูลไฟล์ได้เหมือนบน Mac ปรับปรุงระบบ Duplicate (ทำซ้ำไฟล์), Rename (แก้ไขชื่อไฟล์) และ Export (ส่งออกไฟล์) ให้ใช้ง่ายขึ้นคล้ายใน Mac ผู้ใช้สามารถปรับแต่งแถบเครื่องมือ (Toolbar) ในแอปต่างๆ ของ iPad เองได้แล้ว และสามารถเปิด API เหล่านี้ให้นักพัฒนาสามารถนำไปปรับใช้กับแอปของตนเองได้ด้วย
มีแอพพลิเคชั่นใหม่คือ Freeform เป็นไวท์บอร์ดสำหรับแชร์ให้เพื่อนเข้ามาเขียน หรือแปะโน้ต, ไฟล์, ลิงก์, ภาพ หรือวิดีโอ เพื่อทำงานร่วมกันได้ โดยที่จะเพิ่มเข้ามาใน iOS, iPadOS และ macOS เวอร์ชั่นถัดไปภายในปลายปีนี้
คุณสมบัติเพิ่มเติมพิเศษสำหรับ iPad ที่ใช้ชิป M1 นั่นคือ รองรับ Display Scaling เหมือนบน macOS ทำให้ปรับขนาดพื้นที่ทำงานของหน้าจอให้มีพื้นที่ทำงานเพิ่มได้ และในรุ่น iPad Pro 12.9” จะรองรับ Reference Mode ปรับโปรไฟล์ของหน้าจอ Liquid Retina XDR ให้เหมาะกับลักษณะการทำงานภาพหรือวิดีโอได้
นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติอื่นๆ เพิ่มเติม ทั้งการเพิ่มแอพ Weather ลงใน iPadOS เป็นที่เรียบร้อยแล้ว, ระบบจดจำลายมือ Scribble รองรับภาษาไทยแล้ว เพิ่มเติมจากภาษาอังกฤษและภาษาจีน และระบบแปลข้อความและแปลหน้าเว็บใน Safari ของ iOS 16, iPadOS 16 และ macOS Ventura ก็รองรับภาษาต่างๆ เพิ่ม รวมถึงรองรับการแปลภาษาไทยแล้วเช่นกัน เราสามารถใช้แอปแปลภาษาส่องกล้องไปที่คำศัพท์ต่างๆ แล้วแปลเป็นภาษาไทยได้เลย
และนี่ก็คือทั้งหมดของงาน WWDC 2022 นอกจากงานเปิดตัวนี้ นักพัฒนายังสามารถร่วมงานและเข้าชม Session ต่างๆ กว่า 175 หัวข้อได้ตลอดทั้งสัปดาห์นี้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ และนักพัฒนาสามารถ Download ตัว Beta เพื่อใช้พัฒนาแอพพลิเคชั่นให้รองรับกับ OS ใหม่ที่จะเปิดตัวได้แล้ววันนรี้ ส่วนผู้ใช้ทั่วไปสามารถอัพเดต iOS 16, watchOS 9, macOS Ventura และ iPad OS 16 ราวๆ เดือนกันยายน – ตุลาคมของปีนี้ครับ