ประเด็นร้อนแรงส่งท้ายปลายปี 2017 ที่ผ่านมาเมื่อทาง Apple ถูกตรวจสอบพบว่ามีการใช้ซอฟท์แวร์จำกัดความเร็วการทำงานโทรศัพท์ iPhone เครื่องเก่านั้น ต่อมาได้รับการเปิดเผยว่าเป็นเรื่องจริงหากแต่จะลดความเร็วเฉพาะเครื่องที่แบตเตอรี่อยู่ในสภาพเสื่อม ไม่สามารถจ่ายไฟเลี้ยงระบบได้อย่างมีเสถียรภาพแล้วเท่านั้น โดยดำเนินการมาตั้งแต่ iOS 10.2.1 ตั้งแต่เครื่อง iPhone 6 / 6s รวมไปถึง iOS 11.2 กับรุ่น iPhone 7 / 7 Plus และ iPhone SE
แต่น่าเสียดายที่ความตั้งใจของ Apple นั้นถูกมองว่าล้ำเส้นการตัดสินใจแทนผู้ใช้งาน ไปจนกระทั่งความคิดที่ว่าเป้าหมายของบริษัท คือการบังคับทางอ้อมให้ลูกค้าซื้อเครื่องใหม่ เพื่อผลประโยชน์โดยตรงของบริษัท จนประเด็นร้อนดังกล่าวนี้ถูกชี้แจงและตรวจสอบจากหน่วยงานคุ้มครองผู้บริโภคทั้งในและนอกสหรัฐอเมริกา กันอย่างจ้าละหวั่น และล่าสุดเป็นทาง Jacqueline Famulak ผู้จัดการฝ่ายกฏหมายของ Apple ประจำประเทศแคนาดา ได้ส่งจดหมายชี้แจงต่อรัฐบาลแห่งกรุงออตตาวา ไปอย่างเป็นทางการ
โดยใจความสำคัญในจดหมายระบุดังต่อไปนี้ว่า เป้าหมายของ Apple นั้นไม่ต้องการให้ประสบการณ์การใช้งานโทรศัพท์ iPhone ของลูกค้าเกิดขาดช่วงขาดตอน ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานโทรศัพท์ฉุกเฉิน การถ่ายภาพหรือกำลังแบ่งปันสู่เครือข่ายออนไลน์ เช่นเดียวกับการรับชมภาพยนตร์ในช่วงนาทีสำคัญ เพื่อจัดการปัญหาอาการเครื่องปิดตัวกะทันหัน เราได้พัฒนาชุดซอฟท์แวร์ให้สามารถรองรับการจัดการพลังงานได้อย่างยืดหยุ่นมากขึ้น ซึ่งซอฟท์แวร์จะทำงานเมื่อเครื่อง iPhone ที่มีความเสี่ยงจากอาการแบตเตอรี่เสื่อมเท่านั้น ด้วยแนวทางดังกล่าวนี้จะช่วยให้ลูกค้าสามารถยืดอายุการใช้งานโทรศัพท์ iPhone ในสภาพแบตเตอรี่เสื่อมออกไปได้มากขึ้น โดยไม่เกิดอาการขาดช่วงขาดตอนจากสาเหตุเครื่องปิดตัวกะทันหันฉับพลัน ไม่ใช่ลดความเร็วเพื่อต้องการกระตุ้นให้ลูกค้าอยากอัพเกรดซื้ออุปกรณ์รุ่นใหม่