
เปิดตัวอย่างเป็นทางการไปเป็นที่เรียบร้อย สำหรับ Android P หรือ Android 9.0 รุ่นประจำปีนี้ ซึ่งในปีนี้ Android จะมาในทิศทางไหน และเราจะได้เห็นอะไรจาก Android 9.0 เวอร์ชันปกติ(ก่อนที่จะถูกปรับแต่งกัน)บ้างนั้น เรามาดูกันต่อไปเลยครับ

ใช้ง่ายขึ้น แค่ลาก ลาก ลาก และ ลาก
ในสมัยยุคแรก ๆ ของ Android ICS เราคุ้นชินกับ Android เวอร์ชันที่มีสามปุ่มหลัก (Back / Home / Recent Apps) อยู่ด้านล่างจอ แนวทางนี้ถูกยึดใช้มายาวนานกว่า 7 เวอร์ชันเห็นจะได้ แต่สำหรับ Android P จะเพิ่มรูปแบบ Gesture Based เข้ามาเพิ่มเติม โดยมีขีดเล็ก ๆ อยู่ด้านล่างจอ ขีดนี้จะเป็นตัวบ่งบอกการกลับหน้า Home เหมือนกับบน iPhone X และรูปแบบการใช้งานก็แทบจะไม่ต่างกัน
เดิมเราจะมีปุ่ม Recent Apps เอาไว้ใช้สำหรับเรียกหน้ารายการแอปฯ ที่เปิดอยู่ทั้งหมดขึ้นมา แต่ใน Android P ปุ่ม Recent Apps จะหายไป แต่เผอิญว่าเราสามารถเรียก Recent Apps กลับมาได้ด้วยการลากจากขอบล่างขึ้นข้างบน (ลากทับปุ่มขีด) เพื่อเข้าหน้า Recent Apps และสามารถลากขึ้นได้อีกครั้งเพื่อเปิด App Drawer หรือกดค้างแล้วลากไปทางขวาเพื่อเปลี่ยนแอปฯ ที่ใช้งานอยู่ได้ ส่วนการกลับหน้า Home ก็ให้กดปุ่มขีดหนึ่งที
สำหรับปุ่ม Back ยังคงมีไว้ให้ใช้งานตามเดิม(ในกรณีที่จำเป็น) เนื่องจากระบบยังไม่ได้ใส่ Gesture ที่ลากขอบจอจากซ้ายไปขวาเพื่อกลับหน้าก่อนหน้าให้ ทำให้สามารถยังคงใช้งานปุ่ม Back เพื่อกลับหน้าก่อนหน้าได้ตามเดิม

Adaptive Battery "แบตมีน้อยก็ต้องใช้สอยอย่างประหยัด"
ในยุคที่เราเห็นว่าผู้ผลิตกำลังพยายามทำให้แบตสามารถใช้งานได้นานขึ้นกว่าปกติ เราเองก็ได้เห็น Google ทำแบบนี้มาได้สักระยะหนึ่งแล้วกับฟังก์ชัน Doze ที่จะช่วยลดการใช้แบตฯ กับแอปฯ ที่ไม่จำเป็นหรือไม่ค่อยได้ใช้งาน มาคราวนี้ Google ยกเครื่องกันอีกครั้งกับ Adaptive Battery ฟีเจอร์ที่จะช่วยกำหนดช่วงเวลาของการทำงานเครื่องอย่างแม่นยำ
ต้องขอบคุณ Google AI และเทคโนโลยีจาก DeepMind ที่จะมีส่วนช่วยในการพิจารณาสภาวะของเครื่องในแต่ละช่วงเวลา และจำแนกรายการแอปฯ ออกมาได้อย่างแม่นยำ กล่าวคือ Adaptive Battery จะแบ่งแยกแอปฯ ที่ใช้งานออกเป็นทั้งหมดสี่กลุ่มเช่น แอปฯ ที่กำลังใช้อยู่ แอปฯ ที่ใช้บ่อยๆ แอปฯ ที่ใช้เมื่อต้องทำงาน และแอปฯ ที่ไม่ค่อยได้ใช้ Adaptive Battery จะช่วยลดการใช้แบตสำหรับแอปฯ ในกลุ่มที่ไม่ค่อยได้ใช้งานด้วยการตัดการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต และการแจ้งเตือนต่าง ๆ เป็นต้น

App Actions "อยากทำอะไร เราบอกเอง"
ปีที่แล้ว Google นำเสนอ App Predictions ที่ช่วยแนะนำแอปฯ ที่เราน่าจะเรียกใช้งานออกมาให้ชาวโลกได้รับรู้ มาปีนี้ Android 9.0 มาพร้อมกับความสามารถใหม่ที่เป็นภาคต่ออย่าง App Actions ที่จะช่วยแนะนำ “สิ่ง” ที่เราจะทำต่อไปได้ เช่น เสียบหูฟังหรือต่อหูฟังปุ๊บ App Actions ก็จะขึ้น Spotify พร้อมเพลงที่ “คาดว่า” เราจะฟังขึ้นมาให้ เพียงแค่แตะลงไป เราก็สามารถเข้าถึงเมนูนั้นได้ทันที


App Actions ยังรองรับการเลือกข้อความและคาดการณ์สิ่งที่เราจะทำต่อไปได้ เช่นลากคลุมคำว่า Taylor Swift และกดค้างเพื่อเรียกเมนูย่อยขึ้นมา App Actions ก็จะแนะนำให้เราเปิด Spotify เพื่อฟังเพลงของ Taylor Swift ได้เลย หรือถ้าเราพิมพ์หา Black Panther ใน Search App Action ก็จะแนะนำให้เราเปิดแอปฯ จองบัตรชมภาพยนตร์ หรือดูตัวอย่างภาพยนตร์ผ่าน YouTube ได้เลยโดยไม่ต้องไปเปิดซ้ำในแอปฯ เหล่านั้น

ถ้าคุณ "ติดสมาร์ทโฟน" .... "เรามีวิธีแก้"
ฟีเจอร์เหล่านี้เรียกว่าทำออกมาเพื่อแก้ปัญหา “สังคมก้มหน้า” ที่กำลังระบาดหนักอยู่ในช่วงนี้ เพราะฟีเจอร์ปลีกย่อยใหม่ๆ ของ Android 9 จะเน้นแก้ปัญหาการติดสมาร์ทโฟน และกำหนดขอบเขตในการใช้งานได้อย่างแม่นยำมากขึ้นผ่านฟีเจอร์ใหม่ 4 อย่างดังนี้
- Dashboard เป็นการรื้อหน้า Application List ใหม่ทั้งหมด และเพิ่มหน้าจอบอกเวลาว่าเราใช้งานแอปฯ ต่าง ๆ ไปเท่าไหร่แล้ว และในแต่ละวัน เราใช้โทรศัพท์ไปกี่ชั่วโมง ปลดล็อกเครื่องไปกี่ครั้ง มีการแจ้งเตือนเข้ามากี่ครั้ง ซึ่งเราสามารถดูรายละเอียดได้ทั้งหมด
- App Timer เป็นการกำหนดเวลาการใช้งานแอปฯ แต่ละตัว เช่น ในแต่ละวันเรามีโควต้าการใช้งาน YouTube เพียง 2 ชั่วโมงต่อวัน ถ้าเราใช้ครบ เราจะสามารถดูคลิปสุดท้ายต่อได้จนจบและจะไม่สามารถเลือกคลิปใหม่ ๆ ได้อีก และเมื่อปิด-เปิดใหม่ ก็จะล็อกไม่ให้ใช้งานทันทีจนกว่าจะถึงวันถัดไป
- Do Not Disturb เวอร์ชันอัพเกรดใหม่ ให้สามารถเรียกใช้เซ็นเซอร์ต่าง ๆ ของเครื่อง เพื่อวิเคราะห์สภาพเครื่องในขณะนั้นได้ เช่นถ้ามีการคว่ำเครื่องไว้ ระบบจะรู้ทันทีว่าขณะนั้น เราไม่ต้องการใช้งานเครื่อง สายเรียกเข้า การแจ้งเตือน และ Pop-up ต่างๆ ทั้งหมดจะถูกปิดทิ้ง และปิดเสียงรบกวนต่าง ๆ ทั้งหมด ทำให้สามารถโฟกัสกับสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ได้
- Wind Down เวอร์ชันขั้นกว่าของ Night Light ด้วยการไม่ลดแสงสีฟ้า แต่จะปรับให้เครื่องเข้าสู่โหมด Do Not Disturb โดยอัตโนมัติ และเปลี่ยนสีหน้าจอเป็นสีขาวดำแทนเพิ่มโทนสีเหลือง พร้อมจำกัดการทำงานต่าง ๆ ของเครื่องลงอย่างมาก ทำให้เรารู้สึกไม่อยากใช้งานโทรศัพท์และกลับไปนอนตามปกติ

อยากใช้แล้วล่ะสิ...
ใจเย็นกันก่อนนะครับ Android P ยังไม่พร้อมสำหรับการใช้งานจริงในตอนนี้ ซึ่ง Google จะปล่อยลงโครงการ Android Open Source Project ในช่วงปลายปีนี้ กว่าฮาร์ดแวร์ของท่านจะได้อัพเดตก็น่าจะเกือบ ๆ สิ้นปีนี้ หรือช่วงต้นปีหน้าเป็นต้นไป แต่ถ้าเกิดว่าอยากลองใช้งานจริง ๆ (และไม่เกี่ยงเรื่องการรับประกันตัวเครื่อง) สามารถดาวน์โหลด Android P Beta มาใช้งานก่อนได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
โดยเครื่องที่สามารถดาวน์โหลด Android P Beta มาใช้งานได้ มีดังต่อไปนี้ครับ
- Pixel : Pixel, Pixel XL, Pixel 2, Pixel 2 XL
- Essential : Essential Phone
- Nokia : 7 Plus
- Oppo : R15 Pro
- Sony : Xperia XZ2
- Vivo : X21UD, X21
- Xiaomi : Mi Mix 2S
ส่วนอุปกรณ์อื่น ๆ รอใช้งานกันจริงช่วงปลายปีนี้เป็นต้นไปจ้า