ข่าวสั้น

เปิดตัว macOS Mojave “สำหรับมืออาชีพ แต่มือสมัครเล่นก็ลุยได้”

อีกหนึ่งสิ่งที่มาพร้อมกับการเปิดตัว iOS 12 นั่นก็คือ macOS เวอร์ชันใหม่กับ “macOS Mojave” (อ่านว่า โมฮาเว เป็นชื่อของทะเลทรายแห่งเดียวในรัฐแคลิฟอร์เนีย) รอบนี้ของใหม่เด็ดๆ จะมีอะไรบ้างนั้น เราสรุปมาให้แล้วครับ

 

เวอร์ชันใหม่ของ “Dark Mode” ให้โฟกัสสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้ดีขึ้น

macOS Mojave มาพร้อมกับของใหญ่หนึ่งชิ้นประจำรอบนี้ นั่นคือการรื้อ Dark Mode ออกมาทำใหม่ทั้งหมด เดิมเรามี Dark Mode มาตั้งแต่ OS X Yosemite แต่เป็นแค่การเปลี่ยนแถบเมนู กับ Dock Bar ให้เป็นสีดำ มาคราวนี้ Apple รื้อทุกอย่างให้เป็นสีดำทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น Finder, Maps, iTunes, iMessage, Mail, Calendar, Photo, Contact, Note, iWork, AppStore, Books และสารพัดสิ่งที่มีอยู่ทั้งหมด ให้มี UI เป็นสีดำอันดุดันและสวยงาม

การที่ Apple ทำแบบนี้ถือเป็นจิตวิทยาแบบหนึ่ง เพราะเมื่อทุกอย่างเป็นสีดำ มันจะทำให้เราโฟกัสกับงานที่เราทำอยู่ตรงหน้าได้ดีขึ้น ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนมาแล้วก็คือกลุ่ม Developers ที่ส่วนใหญ่เลือกใช้ Console, Terminal กับ Editor พื้นหลังสีดำ เพื่อให้สังเกตข้อความและความแตกต่างได้อย่างชัดเจน และที่สำคัญคือ UI สีดำ ช่วยลดอาการเมื่อยล้าของสายตาได้ดีกว่าการใช้ UI สีขาวด้วย โดยเฉพาะช่วงเวลาที่เราทำงานตอนกลางคืน การมีสีขาวมากไปมันก็ส่งผลที่ไม่ดีต่อสายตานั่นเอง

อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่ติดมากับ Dark Mode เวอร์ชันใหม่คือ Dynamic Desktop กล่าวคือ Desktop สามารถเปลี่ยนแปลงตามเวลาประจำวันได้ เช่นเช้าๆ แดดสดใส ก็จะเปิดเป็น Light Mode แต่พอตกเย็น ฟ้าเริ่มมืด ก็จะกลับมาเปิด Night Mode ให้โดยอัตโนมัติ นอกจากนี้ Desktop เวอร์ชันใหม่ ยังมาพร้อมกับ Stack Mode ที่สามารถจัดกลุ่มหรือ Stack ไฟล์งานที่รกรุงรังอยู่บน desktop ให้เป็นกลุ่มเดียวกันได้ เพิ่มความสะดวกเข้าไปอีก

 

Mac App Store เวอร์ชันใหม่หมดจด มีบรรณารักษ์คอยคัดแอปฯ ให้แล้ว

อีกหนึ่งอย่างที่มาพร้อมกับ Mojave คือ Mac App Store เวอร์ชันรื้อหน้าตาทำใหม่ทั้งหมด เรามี Mac App Store มาตั้งแต่ OS X Snow Leopard (10.6) ซึ่งนับตั้งแต่นั้น Mac App Store ไม่เคยมีอะไรใหม่ ๆ เข้ามาอีกเลย… เมื่อ Apple เห็นว่าใน iOS 11 มีการรื้อ App Store มาทำใหม่ ใน Mojave ก็เลยขอทำใหม่บ้าง

หน้าตาใหม่ของ Mac App Store จะไม่แตกต่างกับบน iOS อย่างสิ้นเชิง นั่นคือหน้าแรกจะเป็นหน้า Explore ที่มีบทความคัดสรรแอปฯ ประจำวัน แอปฯ ดังๆ เวอร์ชันใหม่ หรือแอปฯ ดังชั่วข้ามคืนเป็นต้น ทั้งหมดถูกคัดสรรและเขียนขึ้นด้วยทีมงานเดียวกันกับ App Store ของ iOS ด้านข้างจะเป็นหมวดหมู่ของแอปฯ ที่แบ่งได้อย่างชัดเจนมากขึ้น ดูเป็นระเบียบมากขึ้นกว่าสมัยก่อนเยอะพอสมควร

การรื้อ Mac App Store มาทำใหม่ ยังมีการเพิ่มคุณสมบัติใหม่เข้าไปอีกสองอย่าง อย่างแรกคือการรองรับ Trialware ในตัวโดยใช้ Apple ID เป็นตัวยืนยัน การรองรับแอปฯ แบบนี้ จะทำให้ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลดแอปฯ มาทดสอบก่อนตัดสินใจซื้อได้ และอย่างที่สองคือการรองรับแอปฯ แบบเช่าใช้ (SaaS) เช่น Office 365 หรือ Creative Cloud ซึ่งหลังการประกาศฟีเจอร์นี้ Microsoft เลยฝากมาบอกว่าหลัง Mojave ปล่อยเวอร์ชันจริง Microsoft จะย้าย Office 365 ขึ้นไปอยู่บน Mac App Store และเปิดให้สามารถใช้ Apple ID สามารถเช่า Office 365 มาใช้งานได้เลย โดยจะเริ่มจาก Office 2019 ที่จะปล่อยเร็ว ๆ นี้ ส่วนฝั่ง Adobe เองก็ไม่น้อยหน้าเช่นกัน เพราะ Adobe ก็ฝากมาบอกว่า จะย้าย Creative Cloud ขึ้นไปอยู่บน Mac App Store ด้วย

 

ความฝันที่เป็นจริง! แอปฯ “iOS” บน “macOS”

เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่หลายๆ คนถามหามาตลอด เพราะว่า macOS เดิมมีแอปฯ ให้ใช้งานแบบปกิณกะน้อยมาก เทียบกับฝั่ง iOS ไม่ติด ถ้าได้แอปฯ iOS มารันบน macOS ได้ก็คงจะดี มาวันนี้ Apple นำร่องนโยบายนี้ด้วยการประกาศเฟรมเวิร์คใหม่ของ Mac App ที่จะเปิดให้ใช้งานกันจริงในปีหน้า

แนวทางของเฟรมเวิร์คนี้คือ Mac App จะรองรับชุดคำสั่ง UIKit ของ iOS App ด้วย ซึ่งจะทำให้แอปฯ iOS สามารถใช้งานบน macOS ได้โดยตรงผ่านการอินพุตด้วยเมาส์ คีย์บอร์ด และแทรคแพด ที่สำคัญคือยังรองรับไปถึงการ Copy-and-paste และ Drag and drop ด้วย เท่ากับว่าเมื่อเฟรมเวิร์คตัวนี้เสร็จสมบูรณ์ Developer แก้โค้ดบางอย่างให้รองรับการทำงานบน macOS เต็มรูปแบบ ก็สามารถส่ง App ขึ้นมารันบน macOS ได้เลย

เพื่อให้เห็นภาพมากขึ้น Apple เลยจับ 4 แอปฯ ใหม่ของ Mojave พอร์ตตรงจาก iOS ด้วยเฟรมเวิร์คข้างต้นมานำร่องให้ดูก่อน ซึ่งทั้ง 4 แอปฯ ก็ประกอบไปด้วย

Apple News

Apple Stock

Voice Memo

Home

 

ความปลอดภัยที่แข็งแกร่งขึ้น ห่วงใยมากขึ้น

อีกหนึ่งเรื่องที่ได้รับการปรับปรุงใน Mojave ก็คือเรื่องของ Security และ Privacy ซึ่ง Apple ชี้ว่าสองข้อนี้คือจุดขายหลักที่ทำให้ผู้ใช้หันมาซื้อสินค้า iOS กันมากที่สุด มาคราวนี้ Apple ขอยกเครื่องระบบรักษาความปลอดภัยเหล่านี้ให้ล้ำไปอีกขั้นด้วยระบบใหม่ที่มีชืื่อว่า “Permission”

รูปแบบการทำงานใหม่ของ “Permission” ก็จะเหมือนบน iOS ทั้งหมด นั่นคือเวลาที่แอปฯ มีการเรียกใช้ฮาร์ดแวร์หรือข้อมูลที่เป็นเรื่องส่วนตัว ก็จะมีการถามผู้ใช้ในครั้งแรกก่อนทุกครั้ง ถ้าเรากด Block แอปฯ ก็จะไม่สามารถใช้ข้อมูลเหล่านี้ได้เลยจนกว่าเราจะไปแก้ Permission ให้สามารถใช้งานได้

อีกเรื่องที่ได้รับการปรับปรุงในรอบนี้คือ Automatic Strong Password ซึ่ง Apple ปรับให้ Safari สามารถสร้างรหัสผ่านที่เดาได้ด้วยวิธีปกติให้ยากขึ้นไปอีก และจัดเก็บรหัสเหล่านั้นเอาไว้ใน iCloud Keychain เพียงแค่เรียกใช้ก็สามารถใช้งานและล็อกอินเข้าไปได้เลย

 

เรื่องอื่น ๆ ที่ทำให้ชีวิตบน Mac ง่ายขึ้น

เรื่องหลักๆ ของ macOS Mojave ก็มีอยู่สี่เรื่องหลัก ๆ แต่ของใหม่ไม่ได้หมดแค่นั้น เพราะ macOS Mojave ยังมีเรื่องใหม่ๆ อีกเล็กน้อยดังต่อไปนี้

  • รองรับ Group FaceTime และ Camera Effect สองฟีเจอร์ใหม่ส่งตรงจาก iOS 12
  • เพิ่ม Gallery View ใน Finder ให้สามารถดูรูปภาพและไฟล์ต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น รวมถึงรองรับการแสดงผล Metadata ครบถ้วน
  • เพิ่ม Quick Action ให้สามารถทำอะไรง่าย ๆ ผ่าน Finder หรือ QuickLook ได้เลย
  • เพิ่ม Screenshot bar สามารถเรียกคำสั่งถ่ายสกรีนช็อตจากบาร์ได้โดยตรง และไม่จัดเก็บให้รกหน้าจออีกต่อไป เพราะ Screenshot จะถูกจัดเก็บเอาไว้ใน Memory ชั่วคราวของเครื่องจนกว่าผู้ใช้จะสั่งเซฟ
  • เพิ่มการรองรับการอัดคลิปจากหน้าจอได้โดยตรง (Video Screenshot)
  • รองรับการใช้กล้องบน iPhone ถ่ายภาพลงเอกสารหรืองานที่กำลังทำอยู่ได้เลย (ต้องใช้ Mac ที่รองรับ Continuity คู่กับ iOS 12)

นี่ก็เป็นรายละเอียดคร่าว ๆ ของ macOS Mojave ในครั้งนี้ ใครที่สนใจก็รอใช้งานจริงได้เลยในช่วงปลายปีนี้ หรือจะรอทดสอบ Beta Version ก่อนก็ได้ ซึ่งจะพร้อมให้ใช้งานจริงกันในเดือนกรกฎาคมนี้

ข่าวดีสำหรับผู้ใช้ Mac ในรอบนี้คือ Mojave รองรับ Mac ทุกรุ่นย้อนหลังไปจนถึงรุ่น Mid 2012 เท่านั้น เท่ากับว่ารอบนี้ Mac รุ่นที่ออกปี 2011 จะไม่สามารถใช้งาน Mojave ได้อีกต่อไปครับ

คณะแกดกวน #teamgadguan

อริญชย์ ชวะโนทัย (iBehemortHz)

เด็ก ป.โท ผู้สนใจในโลกดิจิทัลและสังคม และคอยเฝ้ามองการเปลี่ยนแปลงผ่านสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ที่ชื่อว่า "หน้าจอ" :)