ข่าวสั้น

เปิดตัว Apple Watch Series 4 “ไม่ใช่นาฬิกาสุขภาพ แต่นี่คือนาฬิกาชีวิต”

นอกจากสามพี่น้อง iPhone XS, XS Max และ XR แล้ว Apple ยังได้เปิดตัว Generation 4 ของนาฬิกายอดนิยมระดับโลกอย่าง Apple Watch พร้อมกันด้วย ซึ่ง Apple Watch Series 4 ที่เปิดตัวมานี้ ก็ถือได้ว่าเป็นการ Major Change ครั้งใหญ่ของ Apple Watch นับตั้งแต่เปิดตัวมาก็ว่าได้ เพราะนี่คือการเปลี่ยนโฉมครั้งใหญ่ของ Apple Watch ที่นอกจากเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ ๆ แล้ว ยังเป็นการพลิกโฉมครั้งใหญ่ที่คุณจะต้องตกใจอีกด้วย

ขนาดที่ใหญ่ขึ้น ในรูปทรงแบบเดิม ๆ

สิ่งแรกที่เปลี่ยนไปของ Apple Watch Series 4 ก็คือหน้าจอที่มีขนาดใหญ่ขึ้นในขนาดตัวเรือนเท่าเดิม โดย Apple ได้เลือกใช้วิธีการออกแบบในลักษณะ Edge-to-edge แบบเดียวกับ iPhone X เพื่อทำให้หน้าจอของตัวนาฬิกามีขนาดใหญ่ขึ้น กล่าวคือหน้าจอของ Apple Watch 4 จะมีขนาด 40mm ในขนาดตัวเรือน 38mm ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม 35% และขนาด 44mm ในขนาดตัวเรือน 42mm ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม 32%
เมื่อตัวนาฬิกามีขนาดหน้าจอที่ใหญ่ขึ้น ทำให้ใน watchOS 5 ต้องมีการออกแบบ UI, App และ Watch Faces ใหม่ทั้งหมดเพื่อรับกับขนาดหน้าจอที่ใหญ่ขึ้น โดยหน้าปัดมาตรฐานของ Apple Watch จะมาพร้อมกับตัวแสดงผลข้อมูลแบบละเอียดยิบ และผู้ใช้สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการ หรือในหน้าปัดแบบ Siri ก็สามารถแสดงข้อมูลได้ละเอียดมากขึ้น สามารถแจ้งข้อมูลสำคัญได้ทั้งหมด โดยผู้ใช้ไม่ต้องหยิบ iPhone ขึ้นมาเลย

อีกสิ่งหนึ่งที่ Apple ภูมิใจนำเสนอ นั่นก็คือหน้าปัดรูปแบบใหม่ ๆ ที่มีชื่อว่า Breath เป็นหน้าปัดที่ใช้การแสดงผลเอฟเฟคจากการเต้นของหัวใจโดยตรง ซึ่งก็มีให้เลือกหลากหลายสไตล์ตามความต้องการได้อย่างลงตัว

นอกจากขนาดหน้าจอที่ใหญ่ขึ้นแล้ว Digital Crown ยังได้มีการปรับแบบใหม่ทั้งหมด โดยสิ่งที่เปลี่ยนไปคือทุกครั้งที่หมุนเม็ดมะยม นาฬิกาจะสั่นเตือนในทุก ๆ จังหวะการหมุน เพื่อทำให้ความรู้สึกขณะที่ใช้นั้น คล้ายกับนาฬิกาจริง ๆ มากขึ้น

เป็นมากกว่า Fitness Tracker เพราะนี่คือ "Life Guard!"

อีกสิ่งหนึ่งที่ Apple ชูหนัก ๆ เลยก็คือเรื่องของตัววัดสุขภาพที่ Apple Watch ทำการบ้านมาดีตลอด ใน Apple Watch Series 4 ก็เช่นกัน มาคราวนี้ได้รับการปรับปรุงในเรื่องนี้ชนิดจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยก็ว่าได้ เพราะฟีเจอร์ที่ Apple อัดเข้ามาล้วนช่วยให้การดำเนินชีวิตเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นเสมอ

สิ่งแรกที่เพิ่มเข้ามาเลยก็คือตัวเซ็นเซอร์ Accelerometer และ Gyroscope รุ่นปรับปรุงใหม่ยกเครื่องที่สามารถตรวจจับความเคลื่อนไหวของร่างกายได้สูงถึง 32 แรงจี การที่เซ็นเซอร์มีคุณภาพที่ดีขึ้นแบบนี้ ช่วยให้สามารถตรวจจับการเคลื่อนไหวในแนวดิ่งได้ นั่นหมายความว่า Apple Watch Series 4 จะรองรับการตรวจจับการปีนหน้าผา หรือการออกกำลังกายที่มีการเคลื่อนไหวเป็นแนวดิ่งได้แล้ว และปรัโยชน์ที่ได้จากการที่ Apple Watch สามารถจับแนวดิ่งได้ นั่นก็คือตัวนาฬิกาจะสามารถจับความเคลื่อนไหวของแขนได้แม่นยำขึ้น เช่นถ้าคุณตกจากที่สูง หรือลื่นล้ม หรือเกิดอุบัติเหตุใด ๆ ก็ตามที่ทำให้ลักษณะการแกว่งของแขนนั้นผิดปกติ ตัว Apple Watch Series 4 ก็จะสามารถเรียกหน่วยกู้ภัย หรือติดต่อไปหาเบอร์ฉุกเฉินที่คุณตั้งไว้ได้เลย

อีกฟีเจอร์ที่เพิ่มเข้ามาก็คือการตรวจวัดคลื่นหัวใจด้วยไฟฟ้า (Electrocardiogram) เพียงแค่วางนิ้วบน Digital Crown เท่านั้น ตัวนาฬิกาก็จะใช้เวลาเล็กน้อยเพียง 30 วิ ทำการตรวจจับคลื่นหัวใจและสร้างรายงานการตรวจจับเก็บไว้ได้เลย

ถ้าคำถามคือ Apple Watch ทำได้อย่างไร คำตอบคือด้านหลังของนาฬิกานั้นได้รับการออกแบบใหม่ทั้งหมด โดยชิ้นส่วนด้านหลังจะมีการติดตั้งเซ็นเซอร์ที่เรียกว่า เซ็นเซอร์วัดคลื่นหัวใจด้วยไฟฟ้า ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นขั้วไฟฟ้าไปในตัว และที่ Digital Crown เองก็จะมีการติดตั้งขั้วไฟฟ้าไปอีกหนึ่งจุดเช่นกันเพื่อให้การไหลของไฟฟ้านั้นครบวงจร แม้ว่าเซ็นเซอร์วัดคลื่นหัวใจจะลดเหลือเพียงดวงเดียว แต่ Apple ก็เพิ่มความเข้มข้นของแสงให้มีความเข้มข้นมากกว่าเดิม และพอที่จะสามารถตรวจจับคลื่นหัวใจได้ดี

ประโยชน์ของเซ็นเซอร์วัดคลื่นหัวใจที่ออกแบบใหม่หมด ทั้งหมดก็เพื่อทำให้ Apple Watch Series 4 สามารถตรวจเช็คอัตราการเต้นหัวใจได้แบบ Realtime นั่นหมายความว่าถ้าเกิดอยู่ดี ๆ คุณมีอัตราการเต้นหัวใจที่ต่ำลงแบบเห็นได้ชัด Apple Watch ก็จะสามารถแจ้งเตือนได้เลยว่าขณะนี้อัตราการเต้นของหัวใจนั้นลดต่ำลงมากแบบน่าใจหาย พร้อมมอบคำแนะนำที่คุณควรทำอย่างรวดเร็วที่สุด เพื่อที่สถานการณ์จะได้ไม่เลวร้ายไปมากกว่านี้

คอลเลคชั่นใหม่ ๆ กับสายเดิม ๆ

Apple Watch Series 4 ยังคงมีหลากหลายรุ่น หลากหลายคอลเลคชันให้เลือกหลากหลายคอลเลคชันตามความประสงค์ของผู้ใช้แต่ละคนโดยเฉพาะ ซึ่งแต่ละคอลเลคชัน มีดังต่อไปนี้

  • คอลเลคชันอลูมิเนียม มีให้เลือกทั้งหมดสองรุ่น คือ GPS และ Cellular ส่วนสีก็มีให้เลือกถึง 3 สี ได้แก่สีสเปซเกรย์ สีเงิน และสีทองเฉดเดียวกับ iPhone 8
  • คอลเลคชันสแตนเลส มีให้เลือกเฉพาะรุ่น Cellular และมีให้เลือก 3 สีเช่นกัน โดยสีทองเป็นเฉดเดียวกับ iPhone XS
  • Nike+ Edition มีให้เลือกสองรุ่น คือ GPS และ Cellular และมีให้เลือกสองสีคือสีเงิน และสีสเปซเกรย์
  • Hermes Edition มีให้เลือกเฉพาะรุ่น Cellular และมีเฉพาะสีเงินเท่านั้น

ในส่วนของสาย Apple Watch Series 4 สามารถใช้ร่วมกับสายของเดิมได้ทั้งหมดโดยไม่ต้องเปลี่ยนใหม่!!! ใช่ครับ นั่นคือคนที่มีสาย 42mm อยู่แล้ว ก็สามารถใช้ร่วมกับตัวเรือน 44mm ได้เลย และสายของตัว 44mm ก็สามารถใช้งานร่วมกับรุ่นเก่าที่เป็น 42mm ได้เช่นกัน ทำให้คุณสามารถ Mix and Match สายที่คุณมีได้อย่างลงตัว

ราคาและการวางจำหน่าย

Apple Watch Series 4 จะเริ่มวางจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 21 กันยายนนี้เป็นต้นไป ซึ่งสำหรับประเทศไทยก็ขอแสดงความเสียใจด้วยเพราะว่าเราหลุดจากรายชื่อของประเทศในกลุ่มแรกที่ได้วางจำหน่าย เนื่องจากตัว Cellular จะต้องได้รับการอนุมัติจาก กสทช. เป็นลำดับแรก ทำให้ไม่สามารถวางจำหน่ายได้ทันที ซึ่งราคาวางจำหน่ายก็มีดังต่อไปนี้

  • อลูมิเนียม GPS 40mm และ Nike+ Edition GPS 40mm ราคาเริ่มต้น 14,300 บาท (599 SGD)
  • อลูมิเนียม GPS 44mm และ Nike+ Edition GPS 44mm ราคาเริ่มต้น 15,500 บาท (649 SGD)
  • อลูมิเนียม Cellular 40mm และ Nike+ Edition Cellular 40mm ราคาเริ่มต้น 17,800 บาท (749 SGD)
  • อลูมิเนียม Cellular 44mm และ Nike+ Edition Cellular 44mm ราคาเริ่มต้น 19,000 บาท (799 SGD)
  • สแตนเลสสตีล 40mm ราคาเริ่มต้น 23,800 บาท (999 SGD)
  • สแตนเลสสตีล 44mm ราคาเริ่มต้น 21,600 บาท (1,099 SGD)
  • Hermes Edition 40mm ราคาเร่ิมต้น 43,300 บาท (1,819 SGD)
  • Hermes Edition 44mm ราคาเริ่มต้น 45,200 บาท (1,899 SGD)
หมายเหตุ:
  1. ราคาข้างต้นเป็นราคาของ Apple Store สิงคโปร์ มาแปลงเป็นเงินไทย ซึ่งจะมีราคาใกล้เคียงกับประเทศไทยมากที่สุด ขอให้ผู้ใช้ตรวจสอบราคาจำหน่ายจริงอีกครั้งเมื่อ Apple Watch Series วางจำหน่ายในประเทศไทย
  2. Apple Watch Series 4 “Hermes Edition” มีวางจำหน่ายเฉพาะที่ร้าน Hermes ที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการในประเทศที่ร่วมรายการเท่านั้น ซึ่งในประเทศไทยไม่ได้มีวางจำหน่ายรุ่นนี้

คณะแกดกวน #teamgadguan

อริญชย์ ชวะโนทัย (iBehemortHz)

เด็ก ป.โท ผู้สนใจในโลกดิจิทัลและสังคม และคอยเฝ้ามองการเปลี่ยนแปลงผ่านสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ที่ชื่อว่า "หน้าจอ" :)