ภายหลังจากที่ The Walt Disney Company เจ้าของแฟรนไชส์สื่อบันเทิงบรรลือโลก บรรลุข้อตกลงเข้าซื้อกิจการบริษัทภาพยนตร์ชั้นนำ 21st Century Fox เมื่อปี 2017 ซึ่งต้องผ่านกระบวนการและขั้นตอนการตรวจสอบ จากหน่วยงานกำกับดูแลป้องกันการผูกขาดตลาดในหลายๆ ประเทศ ล่าสุดในสัปดาห์ก่อนปลายเดือนมีนาคม ก็สามารถปิดดีลเข้าซื้อกิจการได้อย่างสมบูรณ์ด้วยข้อเสนอวงเงิน 7.13 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
โดยการเข้าซื้อกิจการในครั้งนี้ของ Disney จะทำให้พวกเขากลายเป็นมหาอำนาจด้านสื่อบันเทิงครบวงจร จากเดิมที่ถือครองลิขสิทธิ์ในการ์ตูนระดับตำนาน และภาพยนตร์บล๊อคบลัสเตอร์ในจักรวาล Star Wars และ Marvel อยู่ก่อนแล้ว โดยจะได้กรรมสิทธิ์ในแฟรนไชส์ภาพยนตร์อย่าง X-Men และ Avatar และอื่นๆ อีกมากมายเข้าสู่แคตาล๊อกครั้งใหญ่ และยังรวมไปถึงช่องภาพยนตร์ชุดต่างๆ ในเครือ FX ช่องสารคดีระดับโลก National Geographic ก็ได้ถูกกวาดต้อนเข้าสังกัดในโอกาสนี้ด้วย
เป้าหมายของ Disney ก็อย่างที่ทราบกันดีว่ากำลังแต่งหล่อ เตรียมเปิดตัวบริการสตรีมมิ่งภาพยนตร์แบบบอกรับสมาชิกภายใต้แบรนด์ Disney+ ซึ่งในเบื้องต้นว่ากันว่า มหาอำนาจสื่อบันเทิงรายนี้มุ่งเจาะตลาดครอบครัวและการศึกษาเป็นสำคัญ ซึ่งจะนำโดยรายการโชว์ที่ผลิตใหม่บนพื้นฐานตัวละครของ Monster Inc และเรื่องราวความเป็นมาของผู้ก่อตั้ง Walt Disney Imagineering นอกจากนั้นแล้วในดีลข้อตกลงดังกล่าว ยังทำให้ Disney กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ Hulu บริการสตรีมมิ่งโทรทัศน์ จากที่ถือหุ้นอยู่เดิม 30% และหุ้นจากเครือ Fox อีก 30% แต่จะไม่มีการควบรวมบริการในส่วนนี้
ผลกระทบจากการที่ Disney เข้าซื้อกิจการ 21st Century Fox ก็ตามมาด้วยการปรับโครงสร้างธุรกิจในบางส่วน คาดหมายว่าจะมีการปลดคนงานระหว่าง 4,000 ถึง 10,000 ตำแหน่ง และด้านธุรกิจสื่อของ Fox Corporation ที่เหลือจะโฟกัสไปที่รายการข่าว Fox News รายการกีฬา Fox Sports เป็นหลักมากกว่าด้านสื่อบันเทิง และดีลระหว่าง Disney-Fox ถือเป็นเมก้าดีลวงการสื่อถัดจากผู้ให้บริการเครือข่ายสหรัฐ AT&T ปิดดีลควบรวมกิจการกับทางเครือ TimeWarner ได้เมื่อกลางปี 2018 ด้วยวงเงินข้อเสนอราว 8.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
