เปิดตัวกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับรุ่นใหม่ของโทรศัพท์มือถือที่ได้ฉายาว่า “นักฆ่าเรือธง” กับ OnePlus 7 Series ที่คราวนี้ OnePlus ไม่ได้พามาแค่ 1 แต่ยกโขยงมาถึง 3 รุ่นย่อยภายใต้ 7 Series พูดโดยสรุปแบบเร็ว ๆ ก็ยังคงคอนเซปท์นักฆ่าเรือธงเอาไว้แบบไม่มีเปลี่ยนแต่อย่างใด บนดีไซน์ที่ดูแล้วสวยและสง่างามขึ้นเป็นกอง
OnePlus 7 Pro ตัวจริงเรื่องนักฆ่าเรือธง
เริ่มกันที่ตัวใหญ่ของบ้านก่อนกับ OnePlus 7 Pro เจ้าตัวนี้มาพร้อมกับหน้าจอ Fluid AMOLED ขนาดใหญ่ถึง 6.67 นิ้ว บนดีไซน์แบบ Edge-to-edge ไร้ Notch พร้อมกล้องหน้าแบบ Pop-up เพื่อให้พื้นที่หน้าจอเป็นหน้าจอจริง ๆ ตัวหน้าจอเป็นหน้าจอความละเอียด QHD+ รองรับ HDR10+ และมีอัตรารีเฟรชเรตที่ 90 Hz ซึ่ง OnePlus เลือกใช้เพื่อให้ระบบแสดงผลออกมาได้เนียนตามากขึ้น ไม่มีอาการสะดุดจากการลาก UI แต่อย่างใด
หน่วยประมวลผลหลักของเครื่องก็ขยับขึ้นมาใช้ Qualcomm Snapdragon 855 ความเร็ว 2.84 GHz แบบ 8 คอร์ 64 บิต ผลิตที่ 7nm ช่วยให้ประหยัดพลังงานมากยิ่งขึ้น ในขณะที่ประสิทธิภาพของเครื่องเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด รวมถึงยังมาพร้อมกับแรม LPDDR4X สูงสุดถึง 12 GB และพื้นที่เก็บข้อมูลภายในแบบ UFS 3.0 ช่วยให้ตัวเครื่องเร็วและแรงเต็มประสิทธิภาพมากขึ้นไปอีก
กล้องหลักของ OnePlus 7 Pro ยังมาพร้อมกับกล้อง 3 เลนส์ตามสมัยนิยม คือเลนส์หลัก 48 ล้านพิกเซล เซ็นเซอร์ Sony IMX586 เลนส์กว้างพิเศษ (Ultra Wide Camera) 16 ล้านพิกเซล และกล้องเทเล 8 ล้านพิกเซล รองรับ Optical Zoom ได้ถึง 3 เท่า และรองรับการถ่ายภาพมุมกว้างพิเศษได้ถึง 117 องศา ส่วนกล้องหน้าเป็นกล้องความละเอียด 16 ล้านพิกเซล เซ็นเซอร์ Sony IMX471
ระบบเสียงของ OnePlus 7 Pro เรียกว่าเป็นการปรับปรุงใหญ่ก็ว่าได้ เพราะ OnePlus 7 Pro มาพร้อมกับลำโพงคู่ด้านหน้าพร้อมระบบเสียง Dolby Atmos สมบูรณ์แบบ ดังนั้นเมื่อรวมกับหน้าจอที่เป็น HDR10+ แล้ว OnePlus 7 Pro เรียกได้ว่าเป็นนักฆ่าเรือธงที่เกิดมาพร้อมกับความบันเทิงสมบูรณ์แบบเลยทีเดียว
ในส่วนของแบตเตอรี่ มาพร้อมกับความจุ 4000 mAh พร้อมรองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็วรูปแบบใหม่ “Warp Charge 30” ซึ่งทำให้เครื่องสามารถชาร์จแบตได้อย่างเร็วถึง 80% ภายในเวลา 20 นาที อีกทั้งยังรองรับการชาร์จไปเล่นไปอย่างสมบูรณ์แบบโดยไม่มีความร้อนแทรกในมือด้วยระบบระบายความร้อนด้วยของเหลว 10 ชั้น ชนิดที่ว่าเมื่อเทียบกับ Galaxy S10+ แล้ว OnePlus 7 Pro สามารถรองรับการเล่นเกมได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่ OnePlus เคยออกสมาร์ทโฟนมาเลยทีเดียว
ที่น่าสนใจสุดท้ายเลยคือ OnePlus 7 Pro มาพร้อมกับการรองรับ 5G ด้วยชิป Qualcomm Snapdragon X50 เป็นครั้งแรกของ OnePlus โดยมาพร้อมกับรุ่นบนสุดอย่าง OnePlus 7 Pro 5G และยังได้รับการปรับแต่งประสิทธิภาพแบบพิเศษจาก Qualcomm และเครือข่าย EE ของยุโรป เพื่อให้ตัวเครื่องสามารถทำงานบนเครือข่าย 5G ได้เต็มประสิทธิภาพมากที่สุด
OnePlus 7 ถึงตัวเล็ก แต่ใจก็ไม่เล็ก!
นอกจากรุ่นบนแล้ว OnePlus ยังมี OnePlus 7 วางจำหน่ายเป็นรุ่นรองลงมาสำหรับคนที่อาจจะคิดว่า OnePlus 7 Pro นั้นดูแรงเกินตัวไปหน่อย สำหรับ OnePlus 7 Pro เรียกว่าเป็นการหยิบเอา OnePlus 6T มาปรับไส้ในใหม่เล็กน้อย แล้ววางจำหน่ายเป็นโมเดลใหม่ ซึ่งความแตกต่างจาก OnePlus 7 Pro จะมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 3 จุดหลัก ๆ ดังต่อไปนี้
- หน้าจอแสดงผลเปลี่ยนกลับไปเป็น Optic AMOLED กว้าง 6.41 นิ้ว ความละเอียด FHD+ และเป็นดีไซน์แบบติ่งหยดน้ำ
- กล้องหลักความละเอียด 48 ล้านพิกเซล เซ็นเซอร์ Sony IMX586 แต่กล้องเทเลโฟโต้เปลี่ยนเป็นความละเอียด 5 ล้านพิกเซล
- แบตเตอรี่มาพร้อมความจุ 3700 mAh เท่า OnePlus 6T และไม่รองรับ Warp Charge 30 แต่รองรับ Fast Charge ตามมาตรฐาน Qualcomm QuickCharge 4+ ตามปกติ และสามารถเล่นไปชาร์จไปได้เช่นกัน
นอกเหนือจาก 3 ข้อหลักที่แตกต่างกันแบบชัดเจนแล้ว นอกเหนือจากนั้น OnePlus 7 ก็มีสเปคในด้านอื่น ๆ เทียบเท่าตัว OnePlus 7 Pro ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นชิป Qualcomm Snapdragon 855 แรม LPDDR4X สูงสุด 8GB ลำโพงคู่พร้อมระบบเสียง Dolby Atmos เป็นต้น
ราคาและการวางจำหน่าย
สำหรับราคา OnePlus 7 Series ภายในงานประกาศราคาแค่ตัว OnePlus 7 Pro เพียงตัวเดียวเท่านั้น ส่วนตัวน้องอย่าง OnePlus 7 และพี่ใหญ่สุดอย่าง OnePlus 7 Pro 5G ไม่ได้มีการประกาศออกมาพร้อมกัน แต่ทั้งสามรุ่นมีตัวเลือกการวางจำหน่ายที่เหมือนกันคือ รุ่นแรม 6 GB ความจุ 128 GB และรุ่นแรม 8 GB ความจุ 256 GB ส่วนรุ่น Pro และ Pro 5G จะมีตัวเลือกรุ่นแรม 12 GB ความจุ 256 GB ออกมาให้เลือกเพิ่มเติม
เมื่อโฟกัสเฉพาะ OnePlus 7 Pro จะมีวางจำหน่ายทั้งหมดสามรุ่นดังต่อไปนี้
- รุ่นแรม 6GB ความจุ 128 GB (สี Mirror Grey) ราคา 669 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 21,000 บาท)
- รุ่นแรม 8GB ความจุ 256 GB (สี Mirror Grey, Nebula Blue และ Almond) ราคา 699 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 22,000 บาท)
- รุ่นแรม 12 GB ความจุ 256 GB (สี Nebula Blue) ราคา 749 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 23,000 บาท)