เปิดตัวกันอย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้วสำหรับสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ล่าสุดของค่ายยักษ์แดนกิมจิ กับ Samsung Galaxy S10 Series ซึ่งครั้งนี้ Samsung ไม่ได้พามาแค่สอง แต่ยกขบวนมาถึง “4 รุ่น”!!! ให้เราปวดหัวกันเล็กน้อย แต่นี่อาจจะเรียกว่าเป็น “นวัตกรรม” ได้ค่อนข้างเต็มปากเต็มคำ เพราะ Galaxy S10 มีของใหม่ที่อัพเกรดจาก Galaxy S9 เดิมขึ้นมาค่อนข้างมาก ซึ่งจะมีอะไรบ้างนั้น เราลองมาดูกันต่อเลยครับ
อ้อ สำหรับใครที่ลงทะเบียนกิจกรรม Blind Booking ไว้ วันที่ 25 กุมภาพันธ์นี้ อย่าลืมว่าเรามีนัดกันที่ centralwOrld กับงานเปิดตัว Galaxy S10 ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ โดยภายในงานมีศิลปินเกาหลีชื่อดังอย่าง iKON มาร่วมงานในครั้งนี้ด้วย ใครที่สนใจก็ไปเจอกันได้ครับ 😀
นวัตกรรมแห่งหน้าจอกับ Cinematic Infinity Display
ของใหม่ชิ้นแรกที่เป็นชิ้นใหญ่เลยคือหน้าจอแสดงผลรูปแบบใหม่ ใช่ครับ นี่คือหน้าจอ Infinity-O ที่เคยใช้ใน Galaxy A9 Pro (หรือ Galaxy A8s) ซึ่งเปิดตัวที่จีนและประเทศอื่น ๆ ไปก่อนหน้านี้ คราวนี้หน้าจอ Infinity-O ขอมาอยู่ในตระกูล Galaxy S กันบ้าง และไม่ได้มาแค่หน้าจออย่างเดียว แต่ยังพาเอาดีไซน์รูปแบบใหม่ และความสามารถใหม่ ๆ มาใช้งานกันเป็นครั้งแรกกับ Galaxy S ด้วย
หน้าจอของ Galaxy S10 มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า “Cinematic Infinity Display” ตัวหน้าจอเป็นหน้าจอ AMOLED แบบใหม่ ซึ่ง Samsung เรียกมันว่า “Dynamic AMOLED” ความสามารถมันคือการรองรับ HDR10+ มาตรฐาน HDR เวอร์ชันใหม่ที่ Samsung เพิ่งจะประกาศใช้กับทีวี QLED ปี 2019 ไปเมื่องาน CES2019 ที่ผ่านมา และยังมาพร้อมกับ Dynamic Tone Mapping ความสามารถใหม่ที่จะทำให้ Galaxy S10 สามารถปรับแสงหน้าจอได้อย่างอิสระตามคอนเทนต์ที่กำลังปรากฎอยู่บนหน้าจอ และที่สำคัญที่สุด Dynamic AMOLED สามารถลดแสงสีฟ้าลงได้สูงถึง 42% โดยไม่ต้องเปิดโหมดตัดแสงสีฟ้า ช่วยให้ภาพที่ปรากฎบนหน้าจอครบทุกรายละเอียด สีสัน สมจริงทุกองศา
ตัวจอ AMOLED ถูกเจาะอย่างดีด้วยเทคนิคการยิงเลเซอร์แบบ Precise Laser Cutting ซึ่งเป็นการใช้เลเซอร์ยิงเจาะตัวจอ AMOLED ลงไปแบบตรง ๆ และใช้เทคนิคการเรียงหลอด OLED แบบใหม่ ทำให้หน้าจอ Infinity-O สามารถแสดงผลสีได้อย่างเที่ยงตรง โดยไม่มีตำหนิหรือส่วนแปลกปลอมตรงบริเวณส่วนที่เป็นกล้องหน้าได้แต่อย่างใด
Galaxy S10 Series จะมีทั้งหมด 4 รุ่น เป็นหน้าจอ Infinity-O ทั้งหมด โดยที่ Galaxy S10e (รุ่นเล็กสุด) จะมีหน้าจอขนาด 5.8 นิ้วแบบ Flat (จอเรียบ ไม่มีขอบ Edge) / Galaxy S10 (ตัวกลาง) มีหน้าจอขนาด 6.1 นิ้ว แบบ Edge / Galaxy S10+ (เกือบท็อป) มีหน้าจอขนาด 6.4 นิ้ว แบบ Edge และ Galaxy S10 5G Edition (โคตรท็อป) มีหน้าจอขนาด 6.7 นิ้ว แบบ Edge
ซึ่งทั้งหมด เป็นหน้าจอความละเอียด QHD+ สามารถปรับความละเอียดลงมาเหลือ HD+ และ Full HD+ ได้จากการตั้งค่าในระบบ เหมือนกับ Galaxy S8/Note 8/S9/Note 9 อย่างไม่ผิดเพี้ยน
นวัตกรรมแห่งความปลอดภัยกับ "Ultrasonic Fingerprint"
ใน Galaxy S10, Galaxy S10+ และ Galaxy S10 5G Edition จะมีตัวสแกนลายนิ้วมือฝังอยู่ใต้จอแสดงผล แต่อย่าคิดว่ามันจะเหมือนกับค่ายอื่น ๆ ที่ทำมาก่อนหน้านี้ เพราะตัวอ่านลายนิ้วมือบน Galaxy S10 “ใช้คลื่น” ในการอ่านลายนิ้วมือแทนการใช้ “แสง”
โดยทางเทคนิค วิธีการนี้จะใช้การปล่อยคลื่นความถี่ต่ำออกมากระทบกับนิ้วแล้วสร้างเป็นลายนิ้วมือของเราขึ้นมา จากนั้นส่งลายนิ้วมือนั้นกลับไปยังตัวอ่านลายนิ้วมือเพื่อติดต่อชั้นฮาร์ดแวร์ที่เกี่ยวข้องต่อไป ข้อดีของเทคโนโลยีนี้คือไม่ต้องเจาะหน้าจอแสดงผลให้โปร่งแสงพอที่แสงจากตัวอ่านลายนิ้วมือสามารถลอดผ่านมาอ่านได้ แต่ข้อเสียที่เห็นได้ชัดก็คือ เราไม่สามารถติดฟิล์มกระจก หรือฟิล์มกันรอยหน้าจอ (ที่ไม่ใช่ของ Samsung) ได้อีกต่อไป เพราะจะมีผลกับฟีเจอร์นี้เข้าอย่างจัง
ข่าวดีคือ Galaxy S10e ตัวเล็ก จะไม่ได้ฟีเจอร์นี้ แต่ Samsung ก็ไม่ได้ใจร้ายมากนัก เพราะยังมีตัวอ่านลายนิ้วมือแบบเดิมฝังอยู่ที่ปุ่มสวิตซ์เครื่องด้านข้างเหมือนเดิม ในขณะที่อีก 3 ตัว จะใช้การอ่านลายนิ้วมือแบบนี้แทน
นวัตกรรมแห่งกล้องกับ "5-Pro Grade Cameras"
อีกเรื่องที่ Galaxy S10 เน้นหนักมาก คือเรื่องของกล้องระดับมืออาชีพที่ Galaxy S10 จัดหนักจัดเต็มกว่าที่เคย กับ 5-Pro Grade Cameras (หน้าสอง/หลังสาม!) ที่จะพลิกโฉมการถ่ายภาพบนสมาร์ทโฟนอย่างจริงจัง
เริ่มกันที่กล้องหน้าก่อน ใน Galaxy S10+ ซึ่งเป็นตัวเกือบท็อป และ Galaxy S10 5G จะได้ฟีเจอร์เรื่องกล้องหน้าครบทั้งหมด นั่นคือกล้องหน้าคู่ 10+8 ล้านพิกเซล โดยตัว 10 ล้านพิกเซลเป็นเซ็นเซอร์แบบ Dual-Pixel เป็นครั้งแรกของ Samsung ช่วยในการเก็บรายละเอียดของภาพทั้งกลางวันและกลางคืนได้ดีขึ้น อีกตัวหนึ่งคือ 8 ล้านพิกเซล เป็นกล้องตรวจจับระยะ (depth camera) เอาไว้ใช้ในการทำ Effect ต่าง ๆ เช่น หน้าชัดหลังเบลอ/AR Emoji หรือถ่ายพรอทเทรทด้วยกล้องหน้าเป็นต้น
ส่วนกล้องหลัง ใน Galaxy S10/S10+ จะได้กล้องหลังเหมือนกันคือกล้อง Wide/Telephoto ความละเอียด 12 ล้านพิกเซลเท่ากับ Galaxy S9 และจะได้กล้อง Ultra Wide Camera ความละเอียด 16 ล้านพิกเซลเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งตัว ซึ่งไฮไลต์ของเจ้ากล้อง Ultra Wide Camera คือผู้ใช้สามารถถ่ายภาพมุมกว้างแบบกว้างมากได้อย่างอิสระ และสามารถถ่าย Panorama แบบ Ultra Wide เพื่อเก็บรายละเอียดทั้งหมดได้โดยไม่ต้องถอยหลังเพื่อเอาระยะอีกต่อไป
สิ่งที่จะต่างออกไป และทำให้ Galaxy S10+ น่าซื้อมากที่สุด คือกล้องหน้าที่ Galaxy S10e และ Galaxy S10 จะได้กล้องหน้าที่เป็น Dual-Pixel เพียงแค่ตัวเดียว และกล้องหลังที่ Galaxy S10e จะไม่ได้ Telephoto สำหรับเก็บภาพระยะไกลหรือถ่ายเทเลโฟโต้ แต่จะได้กล้อง Wide/Ultra Wide ครบ ส่วนตัวโคตรท็อปอย่าง Galaxy S10 5G จะได้ความสามารถด้านกล้องไปทั้งหมด เว้นแต่ต่างกันตรงที่กล้องตรวจจับระยะของกล้องหน้าเป็นกล้องตรวจจับแบบ 3D Depth ความละเอียด hQVGA แทนกล้อง 8 ล้านพิกเซลแบบ Galaxy S10+ และเช่นกันกล้องหลังจะเพิ่มเลนส์ตรวจจับระยะแบบ 3 มิติ (3D Depth) ความละเอียด hQVGA แบบเดียวกันกับกล้องหน้าอีก 1 ตัวเท่านั้นเอง
ส่วนความสามารถด้านซอฟต์แวร์ เรียกว่ายก Galaxy Note 9 มาปรับปรุงเพิ่มเติมอีกเล็กน้อยจนกลายเป็น “AI Camera” อย่างเต็มตัว สิ่งที่เพิ่มเข้ามาจากฟังก์ชัน Scene Optimizer บน Note 9 นั่นคือฟังก์ชัน Shot Suggestion ซึ่งจะเป็นการใช้ AI เพื่อแนะนำ Best Shot ของภาพที่กำลังจะถ่าย เช่นจะต้องยกกล้องสูงขึ้นอีกเท่าไหร่ เอียงกล้องอีกกี่องศา ให้ตัวแบบอยู่จุดไหนของภาพเป็นต้น ซึ่งเมื่อเราได้องศาและจุดตามที่ระบบแนะนำแล้ว ระบบจะชี้ภาพนี้ว่าเป็น Best Shot ที่ควรถ่ายเก็บไว้ หน้าที่เราคือกดชัตเตอร์เพื่อเก็บภาพเท่านั้น AI จะช่วยจัดการกับฮาร์ดแวร์และระบบ OIS อีกครั้ง ก่อนบันทึกภาพที่ดีที่สุดลงไว้ในตัวเครื่อง
นอกจากความสามารถทางด้าน AI แล้ว ในส่วนของโหมดการถ่ายภาพก็มีลูกเล่นใหม่ ๆ ให้เลือกใช้งานอีกเป็นจำนวนมากเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายวิดีโอแบบ 4K HDR ด้วยมาตรฐาน HDR10+ ทั้งกล้องหน้าและกล้องหลัง ลูกเล่นและเอฟเฟคใหม่ ๆ ของการถ่ายภาพด้วยโหมด Portrait และถ่ายภาพในโหมด Instagram เพื่อนำภาพที่ได้ไปลงใน Stories ของ Instagram โดยตรง โดยไม่ต้องถ่ายภาพใหม่ซ้ำซ้อน เป็นต้น
นวัตกรรมแห่งความแรง ทั้งสเปคและการเชื่อมต่อ
ขึ้นชื่อว่าเป็นไลน์สมาร์ทโฟนเรือธงประจำปี ด้านสเปคเครื่องบอกได้เลยว่าจัดหนักจัดเต็มเหมือนเคย เริ่มกันที่หน่วยประมวลผล รอบนี้ Samsung ขยับขึ้นมาใช้ Exynos 9820 แบบ 8 คอร์ 2.8 GHz ผลิตที่เทคโนโลยี 7nm ซึ่งการันตีว่าเร็วกว่า Galaxy S9 ถึง 29% อีกทั้งยังมาพร้อมกับแรมสูงสุดถึง 12 GB พื้นที่เก็บข้อมูลภายในสูงสุดถึง 1 TB และสามารถรองรับ microSD สูงสุด 512 GB ทำให้ Galaxy S10 กลายเป็นมินิซูเปอร์คอมพิวเตอร์แบบพกพาที่มีเร็วและความจุสูงโดยเฉพาะ และที่เพิ่มเข้ามาอีกอย่างในรอบนี้คือระบบระบายความร้อนด้วยไอน้ำแบบเดียวกับ Galaxy Note 9 ซึ่งจะช่วยระบายความร้อนออกจากเครื่องอย่างรวดเร็ว ทำให้เครื่องประมวลผลต่อเนื่องได้เป็นระยะเวลานานไม่มีสะดุด
อีกทั้งตัว Galaxy S10 ยังมาพร้อมแบตเตอรี่ที่มากกว่า Galaxy S9 เกือบ ๆ 20% รองรับการใช้งานอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งวัน โดย Galaxy S10e มาพร้อมแบตเตอรี่ความจุ 3100 mAh, Galaxy S10 มาพร้อมแบตเตอรี่ความจุ 3400 mAh, Galaxy S10+ มาพร้อมแบตเตอรี่ความจุ 4100 mAh และ Galaxy S10 5G มาพร้อมแบตเตอรี่ความจุ 4700 mAh ใหญ่สุด อึดสุดใน Galaxy S10 Series นอกจากนี้ตัวเครื่องยังมีความสามารถ Wireless PowerShare สามารถเปลี่ยนตัวเครื่อง Galaxy S10 เป็นแท่นชาร์จไร้สายเพื่อชาร์จแบตให้กับอุปกรณ์อื่น ๆ ที่รองรับการชาร์จไร้สาย หรืออุปกรณ์เสริมทั้ง Galaxy Watch หรือ Galaxy Buds ได้ทั้งหมด
ด้านการเชื่อมต่อ Galaxy S10 จัดหนักจัดเต็มด้วยการรองรับ Wi-Fi 6 เป็นตัวแรกของโลก และยังรองรับการเชื่อมต่อแบบ 4G LTE Cat.20 รองรับสูงสุดถึง 7CA อัดความเร็วในการดาวน์โหลดได้สูงถึง 2 Gbps และอัพโหลดได้เร้วสุดถึง 150 Mbps และสำหรับ Galaxy S10 5G นอกเหนือจากการรองรับการเชื่อมต่อแบบ 4G LTE แล้ว ตัวเครื่องมาพร้อมความสามารถในการรองรับกับ 5G ตั้งแต่ต้น โดยรองรับการใช้งานร่วมกับคลื่นความถี่ทุกแบบ ทั้งแบบ Non Standalone (NSA), Sub 6 และ mmWave ได้ทั้งหมด เรียกได้ว่าเมื่อ 5G พร้อมให้บริการจริง ก็สามารถใช้ Galaxy S10 5G เล่น 5G ได้ทันที
ราคาและการวางจำหน่ายในไทย
สำหรับในประเทศไทย Samsung จะวางจำหน่าย Galaxy S10 เพียง 3 รุ่น คือ Galaxy S10e/S10/S10+ โดยมีให้เลือก 3 สี คือสีขาว Prism White, สีดำ Prism Black, และสีเขียว Prism Green สำหรับ Galaxy S10e, Galaxy S10 และ Galaxy S10+ รุ่น 128 GB (Ram 8 GB) และสำหรับ Galaxy S10+ รุ่นพรีเมี่ยมคือรุ่น 512 GB (Ram 8 GB) และรุ่น 1TB (Ram 12 GB) จะมีให้เลือกสองสี คือสีขาว Ceramic White และสีดำ Ceramic Black ซึ่งเปลี่ยนวัสดุจากกระจก Gorilla Grass เป็นเซรามิคทั้งตัว
ในส่วนของราคา Galaxy S10e จะวางจำหน่ายในราคา 26,900 บาท Galaxy S10 จะวางจำหน่ายในราคา 31,900 บาท และ Galaxy S10+ จะวางจำหน่ายในราคา 35,900 บาท สำหรับรุ่น 128 GB, 44,900 บาท สำหรับรุ่น 512 GB และ 55,900 บาท สำหรับรุ่น 1 TB โดยจะเริ่มวางจำหน่ายตั้งแต่เดือนมีนาคมนี้เป็นต้นไป
และพิเศษสำหรับลูกค้าที่ไม่ได้ตัดสินใจจองในรอบ Blind Booking รับสิทธิ์จองเครื่องรอบ Pre-Order เพื่อรับเครื่องไปใช้งานเป็นประเทศกลุ่มแรกของโลก ตั้งแต่วันนี้ – 4 มีนาคมนี้ พร้อมรับสิทธิพิเศษต่าง ๆ อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น
จองผ่านร้าน Samsung Brand Shop, S-eStore, Lazada Mall, Shopee หรือที่ร้านค้าหรือตัวแทนจำหน่ายที่ร่วมรายการ รับสิทธิพิเศษถึงสามต่อ ต่อแรกรับสิทธิ์ส่วนลดพิเศษเมื่อนำ Samsung Galaxy เครื่องเก่ามาแลกเป็น Galaxy S10 เครื่องใหม่ ต่อที่สอง รับสิทธิ์ประกันจอแตก 1 ปี เมื่อลงทะเบียนใน Galaxy Gift ภายใน 31 มีนาคม 2562 และต่อที่สาม รับฟรี Galaxy Watch มูลค่า 12,900 บาท เมื่อซื้อ Galaxy S10 และ Galaxy S10+ รุ่น 128 GB และรับ Galaxy Watch+Galaxy Buds มูลค่า 17,890 บาท เมื่อซื้อ Galaxy S10 รุ่น 1 TB และลงทะเบียนรับสินค้าใน Galaxy Gift ภายในวันที่ 10 มีนาคมนี้ หรือเลือกรับสิทธิ์อัพเกรดความจุ จาก 128 GB เป็น 512 GB ในราคา 33,900 บาท เมื่อซื้อ Galaxy S10+ รุ่น 128 GB
หรือจองผ่านเครือข่ายทั้ง AIS, dtac และ TrueMove H รับส่วนลดค่าเครื่องสูงสุดถึง 50% เมื่อซื้อเครื่องพร้อมเซ็นสัญญาการใช้งานตามที่เครือข่ายกำหนด พร้อมรับสิทธิ์ประกันจอแตก 1 ปี เมื่อลงทะเบียนใน Galaxy Gift ภายใน 31 มีนาคม 2562 และรับ Galaxy Watch หรือ Galaxy Buds เพิ่มฟรีทันทีเมื่อจองผ่านช่องทาง AIS Online Store