ย้อนกลับไปเมื่อปี 2008 เมื่อตอนนั้นโลกได้รู้จักกับสุดยอด Next-Gen MMORPG ตัวใหม่จากค่ายเจ้าพ่อ MMO อย่าง NCSOFT ที่นำเอาแนวคิดของโลกแฟนตาซีผสานกับวิถีการต่อสู้ชั้นสูงของฝั่งตะวันออกหรือที่เรียกกันว่า “Martial Arts” ใช่ครับ ผมกำลังพูดถึงเกมออนไลน์ที่กำลังเป็นกระแสดังอย่างมากในขณะนี้อย่าง Blade & Soul เกมออนไลน์ที่ใช้เวลาบ่มเพาะกว่า 4 ปีก่อนเปิดให้บริการในเกาหลีใต้เมื่อปี 2012 และใช้เวลาร่วม 5 ปี ในการเดินทางข้ามฟากไปทั่วโลกก่อนถึงประเทศไทยที่เปิดให้บริการโดยค่าย Garena Online ของเรา เกมนี้มีดีอย่างไร มีจุดเด่นยังไง ทำไมเกมถึงทำลายทุกสถิติในทุกประเทศที่เปิดให้บริการ วันนี้แกดกวนลองแล้วเล่า จะพาไปทำความรู้จักกับเกมนี้อย่างหมดเปลือกเลยล่ะครับ
Beyond Standard "เหนือกว่ามาตรฐานเกมออนไลน์โดยทั่วไป"
ผมเกริ่นคำนี้ก็เพราะว่า Blade & Soul เป็นเกมออนไลน์ที่พัฒนาโดยใช้แนวคิดของคำว่า Beyond Standard หรือ “เหนือกว่ามาตรฐาน” เป็นจุดกำเนิดตั้งต้นในการพัฒนาเกม หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมต้องเป็นคำนี้ เพราะประสบการณ์ในการเล่นที่เกมนี้มอบให้เรียกได้ว่าแตกต่างจาก MMORPG ทั่วไปอย่างสิ้นเชิง เชื่อได้ว่าร้อยทั้งร้อย ทุกคนต้องเคยสัมผัสเกมออนไลน์ที่ต้องพึ่งความรู้และทักษะการเล่นในระดับหนึ่งกันมาก่อน แต่สำหรับ Blade & Soul มันไม่ใช่อย่างนั้น เพราะสิ่งที่เกมมอบให้นั้น ถือได้ว่าเป็นประสบการณ์ใหม่ของการเล่นเกมโดยเฉพาะ ซึ่งจะมีอะไรบ้างนั้น ผมขอชี้เป็นจุด ๆ ดังต่อไปนี้

เหนือกว่า ด้วยระบบควบคุมที่แสนง่าย
ในช่วงแรกของการพัฒนา Blade & Soul ถูกตีความในระบบนี้ออกมาหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการคลิิกตีแบบเกมทั่วไป เกมแนวรัวคีย์บอร์ด หรือแม้กระทั่งแบบ Turn-base แต่สุดท้ายเกมก็ถูกพัฒนาออกมาในรูปแบบ Action RPG แบบเดียวกับเกมออนไลน์แนวแอคชั่นในขณะนั้น เช่น Continent of the Ninth, TERA: The Exiled Realm of Arborea, Dragon Nest หรือ สิบสองหางออนไลน์ เป็นต้น
แต่สิ่งที่ Blade & Soul มอบให้และไม่มีใครเหมือน คือเกมนี้ผู้เล่นต้องควบคุมตัวละคร “ด้วยปุ่มคำสั่งทั้งหมด 12 ปุ่มเท่านั้น” ผมพิมพ์ไม่ผิดแน่นอนครับ เพราะทักษะในเกมนี้กว่า 50 ทักษะ ถูกยัดลงในปุ่มควบคุมหลักทั้ง 12 ปุ่มอย่างแยบยล นั่นก็คือ LMB (คลิกซ้าย), RMB (คลิกขวา), 1, 2, 3, 4, Z, X, C, V, Tab และ F ซึ่งทั้ง 12 ปุ่ม จะควบคุมด้วยระบบธาตุ (Element) และกระบวนท่า (Stance) ของตัวละครที่เลือกอีกทีหนึ่ง ตัวอย่างเช่น อาชีพ Blade Dancer ที่ผมเล่น จะมีกระบวนท่าทั้งหมด 2 รูปแบบ คือกระบวนท่าพื้นฐาน และกระบวนท่าจับดาบ ซึ่งทั้งหมดก็เกิดขึ้นจากทักษะที่เลือกใช้ สถานะของตัวละครและเป้าหมายในขณะนั้น รวมไปถึงบัฟที่ได้รับจากเพื่อนในปาร์ตี้เป็นต้น


และที่ขายดีที่สุดของเกมนี้ คือระบบคอมโบที่ทั้งต่อเนื่อง ดุดัน และเรียบง่าย ซึ่งทั้งหมดเกิดขึ้นจากทักษะที่ผู้เล่นมี รวมถึงทักษะส่วนตัวของผู้เล่นด้วยว่าจะมีความสามารถในการ “รัว” ปุ่มบนคีย์บอร์ดได้นาน และต่อเนื่องขนาดไหน แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ต้องกลัวว่าจะกดวืด เพราะเกมนี้มีระบบ Aim Assist ที่จะช่วยล็อกเป้าหมายโดยอัตโนมัติ ทำให้มั่นใจได้แน่นอนว่าทุกทักษะที่กดไป เข้าเป้าหมายทุกครั้งแน่นอน

เหนือกว่า ด้วยระบบค่าสถานะและทักษะที่เปลี่ยนได้ตลอดเวลา
เชื่อว่าการเล่นเกมแนว RPG ทุกคนจะต้องมีโพยว่าอัพค่าสถานะอะไรถึงจะดีที่สุดและเก่งที่สุด และเชื่อว่าทุกคนต้องเคยมีประสบการณ์ที่ “อัพพลาด” กันมาบ้าง เรียกได้ว่าอัพพลาดที บ่อน้ำตาแทบแตก ซึ่งปัญหานี้เคยมีแนวทางการแก้ไขด้วยระบบ Auto-Status แต่ก็ไม่ตอบโจทย์มากนัก ใน Blade & Soul จึงมีการคิดใหม่ ทำใหม่ ด้วยการใช้แนวคิด “เปลี่ยนได้ตลอดเวลา” มาเป็นตัวเลือกเสริิิมให้ผู้เล่นได้พิิจารณากัน
ระบบค่าสถานะในเกมนี้ใช้แนวคิดของระบบ Auto-Status เป็นพื้นฐานเดิม และจะมีไอเท็ม “โซลชิลด์” (Soul Shield) เป็นตัวกำหนดค่าสถานะของตัวละครเพิ่มเติม ซึ่งตัวละครจะเก่งกาจเพียงใดนั้นก็ขึ้นกับความสามารถในการหาและอัพเกรดโซลชิลด์ของผู้เล่นแต่ละคนด้วย เพราะโซลชิลด์จะมีคุณสมบัติพื้นฐานขึ้นกับชิ้นส่วนที่ใส่ และเมื่อใส่ครบเป็นเซ็ตจะได้ค่าสถานะพิเศษเพิ่มเติม และในบางประเภทจะสามารถอัพเกรดตัวเองเพื่อเพิ่มค่าสถานะให้แกร่งขึ้นไปอีกได้

นอกจากระบบค่าสถานะที่ขึ้นกับระบบ ตัวละคร และไอเท็มแล้ว Blade & Soul ยังมีระบบค่าสถานะที่ได้จาก “วิถีฮงมุน” อีกด้วย (เรียกกว่า “คะแนนฮงมุน”) ระบบนี้จะเปิดโอกาสให้ผู้เล่นที่ผ่านวิถีฮงมุน (เก็บฐานเลเวลครบ 45 (แพตช์ปัจจุบัน) 50 (แพตช์บุปผาน้ำแข็ง) และ 55 (แพตช์ซอรัค)) สามารถปรับค่าสถานะของตัวละครได้ โดยวิถีฮงมุนหนึ่งระดับ จะได้คะแนนฮงมุน 5 แต้ม ซึ่งทั้ง 5 แต้ม ผู้เล่นสามารถจัดสรรลง “ค่าโจมตี” และ “ค่าป้องกัน” ได้อย่างอิสระ โดยที่เมื่ออัพค่าถึงที่ระบบกำหนดก็จะได้ค่าสถานะโบนัสเป็นของแถมเพิ่มเติมด้วย
ซึ่งจุดเด่นที่ผมบอกว่า “เปลี่ยนได้ตลอดเวลา” นั่นก็คือค่าสถานะตัวนี้ สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบได้ตลอดเวลาแม้ผู้เล่นกดยืนยันค่าสถานะไปแล้ว เช่น เปลี่ยนจากสายโจมตีเป็นสายป้องกัน ก็สามารถลดค่าโจมตีลงแล้วเอามาใส่ค่าป้องกันได้ และผลที่เกิดขึ้นคือตัวละครจะโจมตีเบาลงแต่จะได้ค่า HP ที่เพิ่มขึ้นเป็นต้น

อีกส่วนหนึ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้ คือระบบนี้ยังพ่วงไปถึงทักษะของแต่ละสายอาชีพด้วย ตามที่กล่าวในตอนต้นว่าระบบทักษะในเกมนี้ขึ้นอยู่กับสองอย่างคือกระบวนท่าและธาตุของทักษะ นั่นหมายความว่าผู้เล่นสามารถปรับเปลี่ยนธาตุ และผลของทักษะในแต่ละทักษะได้อย่างอิสระ เพื่อความลงตัวในการเล่นของแต่ละคน ที่สำคัญการเปลี่ยนผลทักษะของบางทักษะอาจทำให้ทักษะเปลี่ยนรูปแบบไปได้เลย


เหนือกว่า ด้วยระบบชุดที่ไม่มีข้อจำกัดอีกต่อไป
เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของ ฺBlade & Soul ก็ว่าได้ เพราะเกมนี้ “ไม่มีระบบชุด” ค่าสถานะขึ้นกับตัวละคร อุปกรณ์ และโซลชิิลด์ แล้วคำถามคือเสื้อผ้าในเกมนี้ทำหน้าที่อะไร?
คำตอบก็ตอบแบบกำปั้นทุบดินเลยครับว่า เสื้อผ้า (เรียกว่า Dobok) เกมนี้ เป็นแค่ชุดแฟชั่นใส่เพื่อความงามเท่านั้น ไม่ได้มีผลอะไรกับตัวละครเลยแม้แต่น้อย ยกเว้นแค่ว่าถ้าไม่ใส่เสื้อผ้า โซลชิลด์จะไม่แสดงผล และถ้าใส่ชุดที่เป็นชุดแบ่งฝ่าย ก็จะทำให้สามารถโจมตีผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามได้อย่างอิสระโดยไม่มีคำว่าหัวแดงและบทลงโทษให้กวนใจ
สำหรับการหาเสื้อผ้าก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร ส่วนใหญ่ก็ดรอปจากบอสในแต่ละดันเจี้ยน เป็นของกำนัลในบางเควสท์ หรือถ้าเป็นสายเติม เสื้อผ้าบางชิ้นก็มีขายในร้านค้าไดมอนด์ ซึ่งไดมอนด์เป็นหน่วยเงินที่ได้มาจากการแลก Garena Shell ซึ่งก็เป็นหน่วยเงินที่ได้จากการเติมเงินเข้ากระเป๋าตังใน Garena+ อีกที โดยที่เสื้อผ้าในร้านค้าไดมอนด์จะขายเป็นฤดูกาล ซึ่งเมื่อครบฤดูกาลก็จะผลัดเปลี่ยนไปเป็นชุดอื่น ตามแต่ละเทศกาลที่เกิดขึ้น













นอกจากระบบชุดที่เป็นมากกว่าความงามแล้ว Blade & Soul ยังมีระบบการสร้างตัวละครที่เรียกว่าผู้เล่นสามารถปรับเปลี่ยนคุณลักษณะของตัวละครได้อย่างอิสระ เรียกว่าสามารถกำหนดหน้าตา รูปร่าง และส่วนสูงของตัวละครได้ตามใจ และเมื่อปรับรูปร่างหน้าตาได้ตามที่ต้องการแล้ว ผู้เล่นยังสามารถบันทึกรูปแบบของตัวละครเพื่อนำไปใช้ต่อในอนาคต หรือแจกจ่ายให้เพื่อนผู้เล่นนำไปสร้างตัวละครแบบเดียวกันได้อีกด้วย ระบบนี้เรียกว่าได้รับแรงบันดาลใจมาจากเกม AION ซึ่งเป็นเกม MMORPG ของ NCSOFT อีกหนึ่งเกมเช่นกัน

เหนือกว่า ด้วยระบบการต่อสู้ระหว่างผู้เล่น ที่สมบูรณ์แบบ และเป็นกลางมากที่สุด
เป็นอีกหนึ่งจุดขายของ Blade & Soul ที่เรียกเสียงฮือฮาจากคนที่ติดตามได้ตลอด รวมถึงเป็นเหตุผลหลักที่ทาง Garena ตัดสินใจซื้อลิขสิทธิ์เกมมาเปิดให้บริการในไทยด้วย นั่นก็คือระบบการต่อสู้ระหว่างผู้เล่นที่เรียกได้ว่า สมบูรณ์แบบ เป็นธรรม และเป็นกลางมากที่สุดในโลกก็ว่าได้ เพราะระบบนี้ถือเป็นระบบหลักที่ก่อให้เกิด eSport ของเกมนี้อีกด้วย
เดิมทีเรารู้จักระบบการต่อสู้ระหว่างผู้เล่นว่าเป็นการประลองกันว่าของใครเจ๋งกว่า หรือไม่ใครมีอิทธิพลมากกว่าก็จะเป็นเจ้าแห่งการฆ่าคนกันไป แต่สำหรับเกมนี้ ระบบดังกล่าวจะแบ่งออกเป็นทั้งหมดสองรูปแบบ โดยรูปแบบที่ 1 คือการ PK ระบบนี้ต้องพึ่งชุดประจำฝ่ายของตัวเอง ซึ่งในต้นเกมผู้เล่นจำเป็นต้องเลือกว่าจะสังกัดฝ่ายใดระหว่าง “สมาพันธ์นภาฟ้าคำราม” หรือ “สมาพันธ์โลหิตเงาเพลิง” ซึ่งเมื่อเลือกแล้วผู้เล่นจะได้รับชุดฝ่ายมาเป็นของกำนัลหนึ่งชุด ซึ่งถ้าผู้เล่นสวมชุดประจำฝ่าย ก็จะสามารถโจมตี NPC หรือแม้แต่ผู้เล่นที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามของตัวเองได้ทันที เรียกได้ว่านอกจากความสวยงามแล้ว ยังต้องระวังสิ่งรอบข้างที่อาจจะเกิดขึ้นได้อีกด้วย เพราะไม่แน่ว่าขณะที่วิ่ง ๆ อยู่ คุณอาจโดนสวมรอยและ “ถูกดูด” กลับเข้าไปอยู่ในวงศัตรูก็ว่าได้



นอกจากชุดประจำฝ่ายแล้ว ในเกมยังมีระบบชุดกองกำลังของ NPC ในเกมด้วย ซึ่งชุดกองกำลังจะได้รับเป็นของกำนัลในแต่ละเควสท์ หรือใช้ตราสัญลักษณ์แลกมา ตัวอย่างเช่น ชุดทหารไม้ไผ่ ชุดโจรทมิฬ และชุดทหารอุนกุก จะเป็นชุดที่ได้จากเควสท์ ชุดลัทธิไทกะ เป็นชุดที่ดรอปจาก NPC ฝ่ายลัทธิไทกะ ชุดทัพทาลัน และชุดกองกำลังไร้พ่าย เป็นชุดที่ต้องใช้ตราสัญลักษณ์ในการแลกเป็นต้น
โดยเมื่อสวมใส่ชุดเหล่านี้ก็จะมีคุณสมบัติเหมือนชุดฝ่ายทุกประการ คือสามารถโจมตีฝ่ายตรงข้ามได้ทั้งหมด หรือก็คือ ชุดทหารไม้ไผ่ เป็นปรปักษ์กับ ชุดโจรทมิฬ ชุดทหารอุนกุกก เป็นปรปักษ์กับ ชุดลัทธิไทกะ และชุดกองกำลังไร้พ่าย เป็นปรปักษ์กับ ชุดทัพทาลัน เป็นต้น ซึ่งความพิเศษของชุด NPC คือเมื่อโจมตี NPC ฝ่ายตรงข้ามไปได้ระยะหนึ่ง Boss NPC จะเกิดขึ้นในบริเวณนั้นและเข้าโจมตีผู้ที่เรียกออกมาทันที ซึ่งของที่ได้รับจะเป็นตราสัญลักษณ์ซึ่งไว้ใช้ในการแลกไอเท็มชุดแฟชั่นได้อีกด้วย




อีกรูปแบบหนึ่งก็คือการ PVP ซึ่งการ PVP ของเกมนี้เรียกว่าสมบูรณ์แบบ และเป็นกลางมากที่สุด ด้วยเหตุผลคือไม่ว่าในเกมผู้เล่นจะเก่งกาจเพียงใด ใส่ของดีแค่ไหน หรือแม้กระทั่งเป็นผู้เล่น VIP ที่เติมเวลาเล่น เมื่อย่างกรายเข้าสู่สนาม PVP ค่าสถานะทั้งหมด จะถูกปรับให้เท่าเทียมกันทั้งหมด ไม่มีการแบ่งแยกชนชั้นวรรณะแต่อย่างใด เรียกได้ว่างานนี้วัดกันที่ฝีมือล้วน ๆ
โดยอ้างอิงจากเซิร์ฟเวอร์ไทย ค่าสถานะของตัวละครจะอยู่ที่เลเวล 55 ไม่คิดค่าสถานะเพิ่มเติม ที่มาจากไอเท็มต่าง ๆ ในเกม โดยที่ตัวละครที่มีเลเวลต่ำกว่าที่ระบบกำหนด จะได้รับการบวกเลเวลเพิ่มเข้าไป โดยที่ไม่ปลดล็อกสกิลเลเวลสูงให้เป็นต้น

ซึ่งในการ PVP แต่ละครั้ง เราจะได้รับค่าเงินที่เรียกว่าถั่วเซียน เอาไว้ใข้ในการแลกของใช้ที่จำเป็น เช่นหินโซล หรือเสื้อผ้าที่หาได้เฉพาะจากสนาม PVP เท่านั้น และแต้ม SR หรือ Skill Rating ที่เปรียบดั่งค่าความเก่งกาจของผู้เล่น ยิ่งค่านี้สูง ผู้เล่นที่จะเจอก็จะยิ่งแข็งแกร่งเข้าไปอีก โดยที่ค่า SR นี้จะถูกรีเซ็ตทุกครั้งเมื่อเริ่มฤดูกาลแข่งขันใหม่ในแต่ละครั้ง และในบางครั้งค่า SR นี้จะเป็นค่าที่จำเป็นสำหรับการสมัครเข้าแข่งในรายการแข่งขันต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ และยังเป็นการเปิดประตูไปสู่การแข่งขันระดับโลกที่เรียกกว่า Blade & Soul World Tournament อีกด้วย
เหนือกว่า ด้วยเนื้อเรื่องสุดมันส์
การพัฒนาเกมออนไลน์ขึ้นมาหนึ่งเกม เราจะเห็นได้ชัดว่าผู้พัฒนาส่วนใหญ่ชอบเขียนเรื่องแบบปลายเปิด เพื่อให้เกมสามารถเดินหน้าต่อไปได้ไม่มีที่สิ้นสุด แต่สำหรับ Blade & Soul เนื้อเรื่องในเกมถือเป็นส่วนสำคัญที่สุดเป็นอันดับต้น ๆ ของเกมเลยทีเดียว เพราะเนื้อเรื่องเกมนี้ มีจุดเริ่มต้น และ จุดสิ้นสุด เรียกว่าไม่มีปลายเปิดให้กังวลใจว่าพอจบเรื่องแล้วชะตากรรมของตัวละครต่าง ๆ จะเป็นอย่างไรต่อไป
โดยในเรื่องของเกมนี้ ผู้เล่นจะได้รับบทเป็นศิิษย์คนสุดท้ายของสำนักวิทยายุทธ์ฮงมุนที่ก่อตั้งโดย ฮงซอกกึน ผู้ทำลายปฐพี หนึ่งในจตุรเทพผู้ที่ปกป้องโลกใบนี้จากความชั่วร้ายทั้งหลายทั้งปวง ซึ่งเราจะเป็นผู้ที่รอดพ้นจากการสังหารหมู่โดย จินซอยอน หญิงสาวผู้เยือกเย็นที่มีแววตาที่เก็บกดอะไรบางอย่างไว้ แถมยังได้รับ “บาดแผลแห่งกุหลาบดำ” ไว้เป็นของแถมอีก เป้าหมายของการสังหารหมู่คือการแย่งชิงดาบคมสนธยาซึ่งเป็นดาบที่มีอำนาจมากที่สุดในโลกมาเป็นของตัวเอง เพื่อแผนการบางอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า เราจึงต้องลุกขึ้นสู้เพื่อเดินหน้าสู่การแก้แค้นให้กับอาจารย์ผู้เป็นที่รักของเราต่อไป

ระบบเนื้อเรื่องในเกมนี้จะแบ่งออกเป็นสองส่วน คือเนื้อเรื่องที่เป็นแกนหลัก และเนื้อเรื่องสลับฉาก (ที่เรียกว่า Interlude) ซึ่ง ณ ปัจจุบัน เนื้อเรื่องในเกมที่เป็นแกนจริง และเป็นเป้าหมายเดิมของ Hyung-tae Kim ได้จบลงอย่างสมบูรณ์แล้ว แต่เพราะเกมยังไปได้ต่อ จึงมีการเขียนเนื้อเรื่องต่อเพิ่มออกไปอีก และยังมีเนื้อเรื่องสลับฉากของ NPC ตัวสำคัญที่จะสานต่อไปยังดันเจี้ยนสุดโหดต่อไปได้ ซึ่งก็การันตีความมันส์ได้เลยว่า ในเนื้อเรื่องทุก ๆ บท ทุก ๆ ส่วน มีความมันส์และความน่าติดตามในตัวเองอยู่พอสมควรเลยทีเดียว


สรุป
สำหรับ Blade & Soul ถือว่ามาได้จังหวะแบบพอดิบพอดี เพราะอย่างที่ทราบกันดีว่าในช่วงนี้เป็นช่วงที่เกมออนไลน์บนคอมพิวเตอร์กำลังซบเซาลงอย่างหนัก ในขณะที่เกมมือถือกลับได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นแบบสวนกราฟกันเลยทีเดียว และด้วยคอนเทนต์ รวมถึงระบบต่าง ๆ ใน Blade & Soul และด้วยชื่อของ NCSOFT รวมถึงคำปรามาสที่หลายคนได้กล่าวไว้ว่า “เกมนี้ไม่มีวันเข้าไทย” จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่าทำไมเกมนี้ถึงเป็นกระแสอย่างหนักตั้งแต่วันแรกที่ทาง Garena ประกาศได้ลิขสิทธิ์การเปิดให้บริการเกมนี้อย่างเป็นทางการในประเทศไทย
และเชื่อได้ว่าด้วยฝีมือของ Garena ที่เป็นหนึ่งด้านการจัด eSport อยู่แล้วนั้น จะทำให้ Blade & Soul เติบโตในไทยต่อไปได้อีก ไม่ใช่แค่คอนเทนต์ทั่ว ๆ ไปที่มากับแพตช์ต่าง ๆ เท่านั้น การแข่งขันรายการต่าง ๆ ของเกมนี้ต่างหากที่น่าสนใจว่าจะเติบโตอย่างไรต่อไป และ Garena จะดูแลอย่างไรต่อไป ในเมื่อคอนเทนต์ในมือถูกจริตคนไทยอย่างจังอยู่แล้วนั่นเองครับ