“คือ มันจะต้องกดสลักล็อค เพื่อปลดจอด้านหลังออก แล้วค่อย ๆ กางมันออกมาแบบนี้นะครับ” ผมยังจำภาพที่ Mate X ต้องสาธิตผ่านเจ้าหน้าที่ของ Huawei อย่างทนุถนอม เพราะเวลานั้น ถ้าให้สื่อฯ / Blogger ทั้งหมด ต่อคิวกันจับ คาดว่า Huawei Mate X เครื่องนั้น น่าจะไม่ได้กลับจีนในสภาพที่ควรจะเป็นแน่นอน

ผ่านไปหนึ่งปี นึกว่ามือถือจอพับ จะต้องลำบากกับกับสถาณการณ์ เครื่องบอบบางเกินกว่าจะอยู่ในโลกอันโหดร้ายนี้ได้ แต่ในที่สุด ไม่ว่าจะแบรนด์ไหน ก็สามารถเข็นลงตลาดแบบ ขายจริง ใช้จริง ได้อย่างเป็นทางการ เว้นแต่พระเอกที่หล่อที่สุดในความคิดผมเมื่อปีที่แล้ว Mate X ที่ไม่ได้มาขายประเทศไทยอย่างที่หลายคนรอคอย แต่ Mate X แจ้งเกิดในตลาดประเทศจีนได้อย่างสวยงาม และก็แต่….อีกนั่นละครับ Mate X ก็เจอชะตากรรมเดียวกับมือถือจอพับรุ่นแรกสุด ในแง่ความทนทาน จนทำให้ Huawei แน่ใจว่า ถ้าจะไปตลาดโลก ขอปรับปรุงเครื่องให้พร้อมกว่านี้ดีกว่า
Huawei Mate XS

- หน้าจอ Flexible OLED ใหญ่ 8 นิ้วเมื่อกางออก และเมื่อพับครึ่ง ด้านหน้าใหญ่ 6.6 นิ้ว ดัานหลังใหญ่ 6.38 นิ้ว แปะทับด้วยฟิล์มโพลิเมอร์ 4 ชั้น
- กล้อง SuperSensing Leica Quad Camera ประกอบด้วยกล้อง SuperSensing Camera 40 ล้านพิกเซล เซ็นเซอร์แบบ RYYB / กล้อง Telephoto 8 ล้านพิกเซล / กล้อง Ultra Wide 16 ล้านพิกเซล / กล้อง 3D Depth Sensing
- ชิปเซ็ต Kirin 990 5G เร็วขึ้น 23% ประหยัดพลังงานขึ้น 23% พร้อมรองรับ 5G คลื่นหลัก ๆ 3500, 2600, 2100, 1800, 700 MHz

ตัวเครื่องให้มิติเหมือนถือ Mate 20 Pro / 30 Pro ในแง่ความหนา น้ำหนักโดยรวม เต็มมือกว่า Samsung Galaxy Fold แบบรู้สึกได้ ฉะนั้นแล้ว การใช้งานเหมือนเป็นมือถือทรงหน้าจอแท่ง ไม่ต้องปรับตัวอะไร ดูชัด เต็มตาแบบมือถือจอ 6.6 นิ้ว ทั่วไปหนึ่งเครื่อง การใช้งานหลักทั้งหมดแบบมือถือ ก็คือมือถือจอใหญ่หนึ่งเครื่องจริง ๆ โดยปุ่มเปิด/ปิดจอ ปรับเสียง อยู่ฝั่งขวามือ ที่สามารถกดได้ตามปกติ

ความพิเศษขณะที่ยังไม่กางจอที่ผมชอบที่สุด คือการถ่าย Selfie เพียงแค่กดสลับกล้องว่าจะถ่ายแบบใช้กล้องหน้า แค่พลิกไปด้านหลังเครื่อง หน้าจอฝั่งด้านหลัง จะทำหน้าที่เป็นจอสำหรับถ่ายกล้องหน้า ถ่ายรูปตัวเองเหมือนถือเครื่องกลับหลัง

มาด้านหลังแล้ว จะเห็นสลักปุ่มใหญ่ ๆ ขีดสีแดง นั่นคือตัวปลดล็อค กดเสร็จ สลักที่ล็อคจะคลายจอให้เด้งออกเหมือนเปิดฝากระโปรงท้ายรถ หน้าที่ต่อไปของเรา คือเอามือง้างจากซ้ายไปขวา จนราบ พลิกกลับอีกที จะได้จอเต็ม ๆ 8 นิ้ว ที่ทำให้ผมลืม Fold ไปจากความคิดได้ทันที มันคือความเต็ม!!! แบบที่ควรจะเต็มจริง หน้าจอไม่ใช่กระจก เป็นฟิล์มโพลิเมอร์แนวเดียวกับ Galaxy Fold โดยมีความหนาถึง 4 ชั้น ที่สำคัญ ราคาต่อชิ้น….แพงกว่าทองคำ 3 เท่า!!! และนั่นแปลว่า จอจะต้องมีรอบพับชัดเจนเมื่อกางออกมาสุด เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้จริง ๆ

เมื่อสำรวจเครื่องดี ๆ จะพบว่า หน้าจอแอบมีรอยยุบ จากการขีดข่วนค่อนข้างชัดเจน เมื่อเทียบกับ Galaxy Fold การที่จอของ Mate XS ต้องทำหน้าที่เป็นแกนกลางเครื่อง กับฝาหลังเครื่องไปในตัว ใครที่จะซื้อไปใช้ กรุณาประคบประหงมกว่ามือถือปกติ ไม่ใช่อยากวางก็วาง อยากไถกับโต๊ะเล่นก็ได้ เพราะไม่งั้น อาจได้รอยฝังหน้าจอแบบไม่รู้ตัวเอาได้ สิ่งที่ชอบที่สุดคือ กลไกลพับของ Mate XS ที่ใช้ไทเทเนียมอัลลอยด์ ให้ความรู้สึกที่แน่นหนากว่า Galaxy Fold แต่น้ำหนักของกลไกลพับ ไม่ว่าจะตอนกางหรือเก็บ ผมให้ Galaxy Fold ทำได้เป็นธรรมชาติมากกว่า กำลังดีมากกว่า ถ้า Mate XS ทำให้ลื่นกว่านี้ นิดเดียว นิดเดียวจริง ๆ น่าจะได้น้ำหนักออกมา ที่ไม่ว่าชาย หญิง คนมีอายุ สามารถจับกาง จับเก็บ โดยไม่รู้สึกว่ามันฝืดเกินไป

แต่จุดที่ไม่ชอบที่สุดของ Mate XS คือการวางจอพับทรงกางออก ไม่ใช่ทรงพับเข้าแบบ Galaxy Fold ทำให้การจะกางจอออกมาใช้เต็ม ๆ แบบมือเดียว ไม่มีทางเป็นไปได้เลย ผมพยายามจับในหลาย ๆ ท่า ที่คิดว่าจะใช้มือขวา ซึ่งเป็นข้างถนัด แล้วกางมันออกมาเต็ม ๆ ด้วยมือข้างเดียว ผลคือนิ้วนางกับก้อย คือสองนิ้วที่แรงน้อยที่สุด ไม่มีแรงพอจะผลักมันออก เลยกลายเป็นไฟท์บังคับว่า “ต้องกางด้วยสองมือเท่านั้น” ฉะนั้น จุดนี้ Galaxy Fold ชนะขาดในแง่การใช้งานจริง เพราะลองนึกถึงเวลาอยากใช้จอเต็ม ๆ แต่มีมือวางแค่ข้างเดียว Fold สามารถสอดนิ้วแล้วดันให้จอกางมาเต็ม ถือใช้งานเสร็จ เอานิ้วที่อยู่หลังเครื่อง หักกลับให้ได้มุม แล้วกำมือ เครื่องจะพับกลับ ซึ่งทั้งหมดที่ทำได้ใน Galaxy Fold ทำไม่ได้ใน Mate XS แน่นอน

โดยสรุปแล้ว ความหล่อของ Mate XS มี 10 ให้ 100 มี 100 ให้ 1,000 จริง ๆ เห็นแล้วยังไงก็ตกหลุมรักแบบ Galaxy Fold เป็นมือถือจอพับที่ดูเหมือนทำศัลยกรรมไม่เสร็จ งบหมดซะก่อน แต่พอได้ใช้งานจริง ๆ แล้ว ยังดีที่ความเป็นมือถือจอ 6.6 นิ้ว ช่วยให้การใช้งานที่ต้องใช้มือเดียว จบทั้งหมด โดยไม่ต้องกางจอได้ ฉะนั้นแล้ว การกางจอของ Mate XS จึงควรเป็นเวลาที่ “จำเป็นต้องใช้ขนาดจอ” จริง ๆ เท่านั้น เพราะเมื่อกางมาแล้ว Multi Windows ของเครื่อง ใช้งานจริงได้ดี ทั้งการแสดงผล หรือการข้ามจาก App หนึ่ง ไปอีก App หนึ่ง

แน่นอนว่า ได้จับแบบนี้ แปลว่ามีแผนมาขายไทยแน่นอน พร้อมไหมครับกับราคาที่….มีแววว่าจะแพงทะลุเพดานของ Galaxy Fold แน่นอน….ซึ่ง ผมเชื่อว่า คนที่ชอบเล่น Gadget แบบ Early Adoption ไม่มองราคาอยู่แล้ว ไปชิ้นถัดไปของบทความนี้ดีกว่าครับ
Huawei MatePad Pro

ตลาด Android Tablet ให้ว่ากันตรง ๆ เหลือแค่ Samsung กับ Huawei ที่ยังจริงจังกับมันอยู่ (ถึงรายแรกออกแนว เริ่มทีเล่นทีจริงเข้าไปทุกที) แต่พอมองไปที่เจ้าตลาดที่ชื่อ Apple ความสำเร็จของ iPad Pro 10.1 กับ 12.9 ทำให้ Huawei เอง ขอทำ Android Tablet รุ่นดูดีสุด แรงสุด ออกมาเล่นตลาดนี้ด้วย โดยจุดเด่นคร่าว ๆ มีดังนี้
- หน้าจอ Punch Display ใหญ่ 10.8 นิ้ว ความละเอียด 2560×1600 พิกเซล ขอบบาง 4.9mm สัดส่วนตัวเครื่องต่อหน้าจอสูงสุดถึง 90% พร้อมรองรับ Huawei M-Pencil สามารถรับแรงกดได้สูงสุด 4096 ระดับ
- ลำโพงสเตอริโอสี่ตัว จูนเสียงโดย Harmann/Kardon รองรับระบบเสียงสูงสุด 4 แชนแนล
- ไมโครโฟน 5 ตัวรอบเครื่อง รองรับการตัดเสียงรบกวนได้อย่างดีเยี่ยม
- ชิป Kirin 990 5G รุ่นล่าสุด แบบเดียวกับ Mate 30 Pro และ Mate XS

ก่อนอื่น ขอเห็นต่างกับการที่ Huawei โชว์ว่า ใช้พื้นที่จอได้เยอะที่สุดในตลาด การเห็นกล้องหน้าโผล่มาอยู่ในบริเวณมุมซ้ายบนของจอ (เมื่อถือท่าใบลาน) ยังไงก็ขัดใจมาก เหมือนได้จอเต็มไม่จริง ยอมขอบหนากว่านี้นิดเดียว แต่ทุกอย่างเต็มจอมากกว่าครับ แต่สิ่งที่ต้องให้จริง ๆ คือหน้าจอให้สีที่สวยสมสเปค AMOLED รองรับการแสดงผลสี P3 ใช้งานทั่วไปแบบไถ ๆ หรือจะดู content ก็สวยจริง ทั้งนี้ ถ้ากลัวแสงหน้าจอจะชวนแสบตา ใช้ Dark Mode ได้เลยครับ

หน้าจอมีระบบป้องกันการแตะซ้อนโดยไม่ตั้งใจ โดยอิงจากนิ้วที่เลยขอบจอไม่เกิน 2 เซนติเมตร ระบบจะคำนวณว่า นิ้วที่แตะเกินมา ไม่ใช่การตั้งใจแตะ ฉะนั้น ถือแล้วนิ้วเกินขอบ ก็สามารถใช้งานได้โดยไม่เกินอาการจอลั่นไปมาแบบงง ๆ อีกความสามารถของหน้าจอที่ดี คือรองรับการแสดงผลแนวนอน โดยไม่จำเป็นต้องพลิกเครื่องไปแนวนอน ถ้าระบบคำนวณได้ว่า การใช้งาน ต้องเป็นแนวนอน ถึงจะได้ประสบการณ์ที่ดี การแสดงผลจะถูกปรับทรงเป็นแนวนอนให้เอง

สิ่งที่รู้สึกดีที่สุด คือน้ำหนักที่เบาแบบสบายมือ ผิวสัมผัสเครื่องสีดำกับขาวที่นำมาให้ลอง เป็นไฟเบอร์กลาส โดยมีรุ่นที่เป็นฝาหลังแบบหนัง ซึ่งน่าจะตามมาในภายหลัง ตัวเครื่องฝั่งขวามือ เมื่อถือแนวตั้ง จะมีไมค์ฯ สี่ตัว (ด้านหลังกล้องอีก 1) เพื่อให้การใช้งาน Video Call ได้คุณภาพเสียงที่คมชัด เนื่องจาก Tablet เวลาใช้คุย มักถูกวางไกลกว่าตัวมากกว่ามือถือนั่นเอง

อีกจุดขายสำคัญคือ คีย์บอร์ดเคสกับดินสอเขียนจอ M-Pencil โดยคีย์บอร์ดเคส เป็นฝาหลังแม่เหล็กแปะกับเครื่อง ทำงานผ่านระบบชาร์จไฟไร้สายหลังเครื่อง โดยตัวปุ่ม เป็นปุ่มแบบ Physical แบบเดียวกับคีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์ ใครที่ชอบพิมพ์ปุ่มทรงสูงหน่อย แต่ไม่สูงเท่าคีย์บอร์ด PC ตั้งโต๊ะ จะปรับตัวได้ไม่ยาก ส่วน M-Pencil รองรับแรงกดได้ถึง 4,096 ระดับ ชาร์จกับสันเครื่องฝั่งขวา (เมื่อถือแนวตั้ง) ชาร์จแค่ 10 วินาที ใช้งานได้ 30 นาที ซึ่ง M-Pencil ตัวจริง ด้วยความที่ด้ามเป็นเหลี่ยมเหมือนทรงดินสอจริง ๆ ทำให้มุมในการถือใช้งานจริง แอบง่ายกว่า Apple Pencil 2 พอสมควร การตอบสนองในการวาด ให้อารมณ์แนวเดียวกับ S-Pen ของ Galaxy Note หากได้ App วาดดี ๆ น่าจะทำให้แสดงศักยภาพใช้งานได้ดีแน่นอน

โดยสรุป ในเวลาที่ Android Tablet พยายามหาทางไปต่อให้ได้ MatePad Pro คืออีกความพยายามที่จะทำให้ Tablet ฝั่ง Android เติมเต็ม สมบูรณ์ และใช้งานจริงจังได้ ทั้งนี้ App Gallery มีรองรับกับ MatePad Pro ไม่ต่ำกว่า 3,000 App ในช่วงแรกนี้แล้ว ในส่วนราคาขายนั้น….รอประกาศทีหลังนะครับ แต่น่าจะแรง เร้าใจ ของแถมเพียบตามแนว Huawei อยู่แล้ว
One More Thing .....

ท้ายสุดนี้ มีรายการปาดหน้าเข้าเส้นชัยเล็กน้อย ด้วย Huawei Mate 30 Pro 5G สีส้มขอบทองผิวแบบ Vegan Leather รองรับ 5G ตั้งแต่ต้น ชนิดใส่ซิม AIS (เจ้าเดียวที่บอกว่า เปิด 5G ให้ลูกค้าใช้ได้เลย ถ้าคุณมีอุปกรณ์รองรับ) แล้วสัมผัสประสบการณ์ 5G ก่อนใครได้เลย วางขาย 5 มีนาคมนี้ ในราคา 31,990 บาท แต่ถ้าซื้อกับ AIS / dtac / TrueMove H ราคาเริ่มต้นที่ 17,990 บาท
เป็นการจบงานที่ผมเผลอร้อง “เหี้ยม!!!” จน ม ม้า กระเด็น ครับ….