การมาของเกมคอนโซลยุคที่ 8 (และกำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคที่ 9) เราได้เห็นวงการเกมมีการพัฒนาและเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด ไม่ใช่แค่คุณภาพหรือเนื้อหาของเกมที่มีความน่าสนใจ แต่หลัก ๆ คือเรื่องของ “ขนาดเกม” ที่โตขึ้นตามเนื้อหาเกมแบบน่าใจหาย สมัยก่อนเวลาเราเล่นเกมต่าง ๆ รวมถึงเกมออนไลน์ เราจะเจอเกมที่มีขนาดใหญ่ไม่มาก ตั้งแต่ 100 MB จนใหญ่สุด ๆ ที่ 4 GB แต่ปัจจุบันนี้ เกม ๆ หนึ่งก็มีขนาดไม่ต่ำกว่า 20 GB เป็นมาตรฐาน แต่นั่นคือส่วนน้อย เพราะส่วนใหญ่ ก็มีขนาดใหญ่ไล่ตั้งแต่ 50 GB ไปจนถึงขนาดใหญ่เว่อร์วังระดับ 100 GB จนต้องใช้แผ่นบลูเรย์สองแผ่นก็มีมาให้เห็นกันบ้างแล้ว
ปัญหาที่ตัวเกมมีขนาดใหญ่มากขึ้นในปัจจุบัน ก็เริ่มสร้างความรำคาญให้กับผู้เล่นพอสมควร โดยเฉพาะผู้เล่น PS4 หรือ Xbox One ยุคแรก ๆ ที่ให้ฮาร์ดดิสก์ในเครื่องเพียง 500 GB แม้อาจจะดูเยอะมากในขณะนั้น แต่ปัจจุบันนี้เรียกว่าแทบจะไม่พอยาไส้แล้ว ลง ลบ ลง ลบ กันเป็นว่าเล่น เมื่อปัญหามันเป็นเช่นนี้ เราเลยได้เห็นการปลดล็อกครั้งใหญ่ของ PS4 และ Xbox One คือการประกาศรองรับ “External Harddisk” สำหรับใช้จัดเก็บและเรียกใช้ข้อมูลเกมขึ้น ด้วยประสิทธิภาพของฮาร์ดดิสก์พกพาในท้องตลาดที่ยังยืนพื้นเทคโนโลยี 5400 rpm อยู่ ก็คงจะไม่เหมาะสมนัก ถ้าเราจะเอาฮาร์ดดิสก์แบบนั้นมาใช้เล่นเกม ด้วยเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลนี้ ผลิตภัณฑ์ฮาร์ดดิสก์สายใหม่จึงได้ถือกำเนิดขึ้น นั่นคือ “Game Drive”
ทุกวันนี้เรามี Game Drive ให้เลือกใช้งานจากสองผู้ผลิตหลักคือ Seagate และ Western Digital หลัก ๆ เป็นการนำฮาร์ดดิสก์จานแบบ 5400 rpm มาเพิ่มความเร็วในการอ่าน/เขียน เพื่อให้เหมาะสมกับการนำไปใช้งาน เช่นฝั่ง Seagate เป็นการนำฮาร์ดดิสก์ตระกูล FireCuda มาพัฒนาต่อเป็น Game Drive หรือฝั่ง WD เองที่นำ WD Black มาพัฒนาเป็น Game Drive ออกวางจำหน่าย แต่การที่ทุกอย่างยังยืนพื้นที่ 5400 rpm มันเลยดูจะแรงไม่สะใจพอ โดยเฉพาะกับเกมที่มีขนาดใหญ่มากและจำเป็นต้องใช้ความเร็วในการอ่านค่อนข้างสูง แนวคิดการนำ SSD แบบ NVMe M.2 มาพัฒนาเป็น Game Drive จึงได้ถือกำเนิดขึ้น จนในที่สุดก็กลายมาเป็น “WD_BLACK Game Drive P50” ตัวนี้นี่เอง
WD_BLACK Game Drive P50 ตัวนี้ นอกจากมันจะเป็น Game Drive แล้ว มันก็ยังเป็นผลิตภัณฑ์ในตระกูล External SSD ของ WD อีกต่างหาก แม้ภาพรวมมันอาจจะไม่ได้เหมาะสมในการนำมาใช้งานทั่ว ๆ ไปเหมือน WD My Passport SSD ที่หลายคนน่าจะเคยเห็นกันมาก่อนหน้านี้ แต่ประสิทธิภาพนี่ก็เรียกได้ว่าไม่แพ้กันเลยทีเดียว กินกันไม่ลงเลยจริง ๆ
WD วางจำหน่าย WD_BLACK Game Drive P50 ในไทยแล้ววันนี้ ที่ความจุ 500 GB และ 1 TB โดยตัวที่เราได้รับมาลองแล้วเล่าในครั้งนี้ WD จัดตัวใหญ่ 1 TB มาให้ลองเล่นกันเลย (ราคาหน้าร้านตอนนี้อยู่ที่ 8,990 บาท ถือว่าแพงมาก!) ประสบการณ์ความแรงชนิดลืมโลกจาก WD_BLACK Game Drive P50 ตัวนี้จะเป็นอย่างไรบ้างนั้น เราจะเล่าให้ฟังดังนี้
ส่องดูรอบตัว~
พริบตาแรกที่หยิบเจ้า P50 ออกมาจากกล่อง แวบแรกดูจะไม่ค่อยแตกต่างจาก External SSD สักเท่าไหร่ ถ้าไม่รู้กันจริง ๆ นี้ ผมกล้ารับประกันเลยว่ายังไงก็แยกไม่ออก เพราะรายละเอียดมันเหมือนกันมากจริง ๆ แต่เพราะนี่คือ WD_BLACK และเป็นฮาร์ดดิสก์สำหรับการเล่นเกม ดีไซน์ของตัวฮาร์ดดิสก์ก็เลยดูจะไม่ค่อยเหมือนชาวบ้านสักเท่าไหร่
P50 มาในดีไซน์โฉบเฉี่ยวแบบเดียวกับ P10 ที่เป็นรุ่นฮาร์ดดิสก์จานหมุน ตัวเคสเป็นเหล็กอย่างหนา มีน้ำหนักค่อนข้างมาก ชนิดที่ว่าถ้าเอาไปปาใส่หัวใคร มีหัวแตกเลือดอาบแน่อน และที่ตัวเคสมีการสกรีนโลโก้ของ WD_BLACK และรายละเอียดเอาไว้อย่างชัดเจน
ด้านหลังเป็นโพลีเอสเตอร์ ผิวสัมผัสจะหนืดๆ เพื่อใช้ในการยึดติดกับโต๊ะ หรือตัวเครื่อง PS4/Xbox One ที่ใช้งาน โดยที่ด้านล่างจะยังมีข้อมูลอีกส่วนหนึ่งของตัวฮาร์ดดิสก์เอาไว้ด้วย นอกจากนี้ยังมีการทำร่องระบายความร้อน เพื่อระบายความร้อนสะสมที่เกิดจากการใช้งานออกมา
พอร์ตเชื่อมต่อตัวนี้เป็น USB-C แบบเดียวกับ My Passport Ultra 2019 ที่เราลองแล้วเล่ากันไปก่อนหน้านี้ พร้อมไฟ LED บอกการทำงานที่ด้านข้าง ซึ่งถ้าเป็นการเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่การเชื่อมต่อกับ PS4/Xbox One นี่ แสงสีขาวทำเอาแสบตากันได้เลยทีเดียว
ตัวนี้ให้สายเชื่อมต่อมาสองเส้น คือ C-to-C 1 เส้น สำหรับใช้งานกับคอมพิวเตอร์ และสาย C-to-A แยกอีกหนึ่งเส้น สำหรับใช้งานกับคอมพิวเตอร์ที่ไม่ได้มีพอร์ต C หรือใช้งานร่วมกับ PS4/Xbox One โดยความแตกต่างของสองสายนี้คือ สาย C-to-C จะรองรับมาตรฐาน USB 3.2 Gen 2×2 SuperSpeed 20 Gbps ใช้งานได้เต็มความเร็วของ SSD ที่ 2,000 MB/s แต่กลับกันถ้าเป็นสาย C-to-A จะโดนกดความเร็วเอาไว้สูงสุด 1,000 Mbps ตามสเปตมาตรฐานของ USB 3.1 Gen 2
เสียบสาย เริ่มใช้งาน
หลังจากที่เราทำความรู้จักกับเจ้า P50 ตัวนี้แบบคร่าว ๆ ไปแล้ว เรามาเริ่มลองใช้งานจริงกันเลยดีกว่า ในเมื่อมันเป็น SSD สำหรับการเล่นเกม ฉะนั้นจะให้ต่อคอมก็คงเสียของนิดนึง… ผมเลยจับต่อ PS4 ของผมแทนซะเลย ฮา
การต่อใช้งานก็ง่ายมากครับ หยิบสาย C-to-A ขึ้นมาต่อกับเครื่อง ตัวเครื่องจะตรวจจับ SSD ตัวนี้ให้เป็นเสมือนเรากำลังเสียบ Flashdrive หรือ External Harddisk 1 ตัวเข้ากับเครื่อง การจะเริ่มใช้งานจริง ๆ เราจะต้องเข้าเมนูการตั้งค่าของตัวเครื่องเพื่อฟอร์แมตเจ้า P50 จากเดิมที่เป็น exFAT ให้กลายเป็นอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลเสริมของ PS4/Xbox One เสียก่อน ขั้นตอนนี้ใช้เวลาดำเนินการไม่นาน เราก็จะได้พื้นที่จัดเก็บเสริมขึ้นมาทันที
หลังฟอร์ตแมตเสร็จแล้ว P50 ตัวนี้จะกลายเป็นอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลเสริมของเครื่องไปโดยปริยาย และการติดตั้งแอปพลิเคชัน (เกม) ต่าง ๆ หลังจากนี้ จะถูกย้ายมาติดตั้งบน P50 แทนการติดตั้งในฮาร์ดดิสก์เครื่อง
สิ่งที่ควรรู้อีกอย่างหนึ่งคือเมื่อเราฟอร์แมตเจ้า P50 ให้กลายเป็นพื้นที่จัดเก็บเสริมของ PS4 หรือ Xbox One ไปแล้วนั้น พื้นที่บน SSD จะหายไปราว ๆ 100 GB โดยอัตโนมัติ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของรูปแบบการจัดเก็บไฟล์ที่ทั้งสองเครื่องมีรูปแบบที่แตกต่างกัน และกรณีฝั่ง PS4 ระบบปฏิบัติการพื้นฐานของตัวเครื่องก็ยืนพื้นมาจากทาง Unix อยู่แล้ว ฉะนั้นการคำนวณพื้นที่ก็จะแตกต่างกันตามตัวเครื่องที่ใช้งาน แต่ถ้าเราตัดสินใจฟอร์แมตกลับเป็น exFAT เพื่อนำกลับไปใช้กับคอม เราก็จะใช้พื้นที่ได้เต็ม ๆ 1 TB ตามปกติ
การใช้งานหลัก ๆ ของ P50 ในโหมดนี้ คือใช้เป็นพื้นที่จัดเก็บเสริมของ PS4/Xbox One เป็นหลัก เมื่อคำนวณพื้นที่ที่ได้มา (918.4 GB) เราจะสามารถติดตั้งเกมใหญ่ ๆ ระดับ 100 GB+ เช่น Final Fantasy 7 Remake, Tom Clancy’s The Division 2, Red Dead Redemption 2 หรือ Call of Duty: Modern Warfare ได้ 9 เกม แต่ถ้าเป็นเกมที่ใช้พื้นที่เฉลี่ย 50 GB เราก็จะสามารถติดตั้งได้สูงสุดประมาณ 18 เกม SSD ตัวนี้ถึงจะเต็ม
การติดตั้งในพื้นที่จัดเก็บเสริมไม่ได้มีข้อแตกต่างอะไรมากกับการติดตั้งในฮาร์ดดิสก์เครื่อง เรายังคงติดตั้งและเรียกเกมขึ้นมาเล่นได้ตามปกติ เพียงแต่เมื่อเราถอด P50 ออก ก็จะไม่สามารถเล่นเกมที่ติดตั้งบน P50 ได้ก็เท่านั้นเอง
ส่วนการนำไปใช้งานกับคอมพิวเตอร์ ก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษมากเมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ของ WD เพราะเจ้า P50 ตัวนี้ไม่ได้รองรับฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยของข้อมูล หรือฟีเจอร์การสำรองข้อมูลแต่อย่างใด และไม่สามารถใช้ซอฟต์แวร์ WD Discovery จัดการอะไรกับตัว Game Drive ได้เลย รวมถึงการปิดไฟ LED บนตัว Game Drive ด้วย ฉะนั้นการใช้งานบนคอม P50 ก็มีค่าเพียงแค่เป็น External SSD 1 ตัวเท่านั้น ไม่ได้มีอะไรพิเศษไปมากกว่านี้
ความเร็วในการใช้งาน
เกิดเป็น SSD ทั้งที มันก็ต้องเร็วแบบ เร็วลืมโลกถูกไหมครับ? และใช่ครับ P50 ตัวนี้เร็วแบบลืมโลกจริง ๆ นั่นก็เป็นเพราะ ข้างในของ P50 เป็น NVMe SSD ที่ออกแบบต่อยอดจาก WD_BLACK SSD SN750 ตัวแรงสุดของ WD มีความเร็วในการเขียนอ่านสูงถึง 2,000 MB/s พ่วงด้วยการรองรับเทคโนโลยี USB 3.2 Gen 2×2 ที่มีความเร็วสูงแบบ SuperSpeed ถึง 20 GB/s ตามมาตรฐานของ USB-IF เป็นตัวแรกของโลก ฉะนั้นโดยพื้นฐานตามหน้ากระดาษ P50 สามารถทำความเร็วได้สูงสุด 2 GB/s ได้สบาย ๆ แน่นอน ถ้าใช้กับเครื่องที่รองรับ USB 3.2 แต่ถ้าไม่ล่ะ?
มันก็.. เป็นไปตามที่เห็นจากด้านบนครับ ด้วยความที่ผมใช้เครื่องที่มี USB-C แต่ไม่ได้รองรับ USB 3.2 Gen 2×2 ฉะนั้นเราก็จะได้ความเร็วสูงสุดตามมาตรฐานของ USB 3.1 Gen 2 ที่ประมาณ 1,000 MB/s เรียกได้ว่าความเร็วสูงปานนี้ เกินพอดีแล้วสำหรับการใช้งานทั่ว ๆ ไปบนคอมพิวเตอร์ แต่สำหรับการเล่นเกมนั้น ถ้าเป็น PS4 Slim หรือ PS4 Pro คงไม่มีอะไรแตกต่างจากการเล่นบนคอมพิวเตอร์ แต่ถ้าเป็น PS4 และ Xbox One (รวม Xbox One S และ Xbox One X) เราก็จะโดนแคปความเร็วลงไปอีกเพราะตัวเครื่องยังเป็น USB 3.0 ฉะนั้นความเร็วสูงระดับ 2,000 MB/s ของ P50 แทบใช้ไม่เต็มประสิทธิภาพเลย
เล่าตัวเลขคงเห็นภาพยังไม่ชัด แต่ถ้าพูดเรื่องการเล่นเกม อย่างน้อยการที่ P50 เป็น SSD ก็ช่วยให้การโหลดฉากต่อฉากสามารถทำได้เร็วมากขึ้น รวมถึงเกมประเภท Open-world ก็สามารถเล่นได้ราบลื่นมากขึ้น ไม่มีอาการกระตุกของภาพที่เกิดจากการโหลดฉากไม่ทันให้เห็นแต่อย่างใด เรียกว่าปัญหาเบสิกพื้นฐานที่เกิดขึ้นจากฮาร์ดดิสก์ 5400 rpm นั้น แทบจะไม่ปรากฎให้เห็นเลยถ้าเล่นเกมด้วย SSD
สรุป "ตัวช่วยยามมีปัญหา แถมได้เร่งสปีดไปในตัว"
พูดกันตามตรง ถ้า Sony หรือ Microsoft ไม่เพิ่มการรองรับ External Harddisk เข้ามาใน PS4 กับ Xbox One เราก็คงจะไม่ได้เห็นผลิตภัณฑ์สาย Game Drive กันจริง ๆ เรียกว่าเป็นอานิสงค์ของผู้ใช้แท้ๆ ที่อย่างน้อยเราก็มีวิธีการแก้ปัญหาความจำเครื่องเต็มโดยที่ไม่ต้องมานั่งแกะเปลี่ยนฮาร์ดดิสก์ให้เสียวประกันเครื่องหลุดกันเหมือนสมัยก่อน และก็เป็นตามธรรมเนียมธรรมดาของวงการ IT นั่นแหละครับ ถ้าไม่มีคนเปิด ก็ไม่มีคนตาม ถ้า Sony กับ Microsoft ไม่เริ่ม / Seagate ไม่เปิดไลน์สินค้า เราก็คงจะไม่ได้เห็น WD ทำ Game Drive ออกมาขายแข่งเป็นแน่แท้ แถม WD ที่มาทีหลังแต่ก็สามารถทำและออกผลิตภัณฑ์ได้น่าสนใจกว่านี่ อันนี้ต้องเรียกว่าเป็นข้อดีของทาง WD เขาจริง ๆ ที่สามารถตีโจทย์แตก และออกผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจสู่ท้องตลาดได้
แต่ก็นั่นแหละครับ ไม่ได้มีใครสมบูรณ์แบบไปตลอดเวลา เพราะ WD_BLACK Game Drive ทั้งไลน์ อาจจะไม่เหมาะสำหรับคนที่จะซื้อไปใช้เป็นฮาร์ดดิสก์สำรองสักเท่าไหร่ ด้วยน้ำหนักที่มากกว่าปกติ และการออกแบบที่เน้นความทนทานมากกว่าการพกพา รวมถึงฟีเจอร์ด้านข้อมูลแบบ My Passport ก็ไม่ได้โดดเด่นนัก แต่ถ้าเอาความแตกต่างหรือความ Unique นั้น Game Drive ก็เป็นอีกตัวเลือกที่น่าจะสร้างความแตกต่างในไลฟ์สไตล์การทำงานได้ดีพอสมควร
มาถึงตรงนี้ก็คงต้องยืดอกยอมรับจริง ๆ ว่า ผมเองก็ตกหลุมรัก WD_BLACK Game Drive P50 ตัวนี้เข้าเต็มเปา ไม่ใช่เพราะว่า PS4 เครื่องเต็มนะ แต่เป็นเพราะว่านี่คือ SSD แท้ ๆ ไม่มีเทียมผสม แม้หลายจุดอาจจะยังเกินความจำเป็น เช่น ความเร็วบ้าคลั่ง หรือ USB 3.2 Gen 2×2 แต่ถ้าคิดเผื่อว่า เราซื้อเผื่ออนาคตกับ PS5 หรือ Xbox Series X ล่ะ มันก็สมเหตุสมผลนะ เพราะสำหรับทั้งสองรุ่น External Harddisk ถือเป็นอุปกรณ์จำเป็นอีกหนึ่งชิ้นนอกจากจอย หรืออุปกรณ์เสริมอื่น ๆ ของตัวเครื่องอยู่แล้ว โดยเฉพาะกรณีของ PS5 ที่ออกแบบระบบให้ใช้ External Harddisk ในการเล่นเกม PS4 นั้น ยังไงคนที่ใช้ PS5 ก็ต้องหา External Harddisk ติดตัวไว้ด้วย และถ้าข่าวลือเรื่องการใช้พอร์ต USB-C บนตัวเครื่องคอนโซลไม่ผิดพลาด (เพราะจอย DualSense ของ PS5 เป็น USB-C) เราก็น่าจะได้เห็นการรองรับ USB 3.2 บน PS5 เช่นกัน และถ้ามันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ยังไง P50 ตัวนี้ก็จะได้โชว์พลังและประสิทธิภาพที่มันควรจะเป็นให้ได้เห็นกันอย่างแน่นอน เอาเป็นว่าไว้รายละเอียดเครื่อง PS5 ออกแบบเต็ม ๆ เมื่อไหร่ ถึงกระนั้นเราคงจะได้ทราบคำตอบในเรื่องนี้อย่างแน่นอน
ใครที่สนใจ WD_BLACK Game Drive P50 รวมถึงรุ่นอื่น ๆ เช่น P10 หรือ D10 สามารถหาจับจองเป็นเจ้าของได้แล้ววันนี้ที่ตัวแทนจำหน่ายของ Western Digital หรือตัวแทนจำหน่ายของ PlayStation, NGIN, ร้านเกมคอนโซล และร้านสินค้าไอทีทุกแห่งทั่วประเทศ หรือสามารถสั่งซื้อออนไลน์ได้ที่ WD Official Store บน Shopee ได้ครับ 😀