ลองแล้วเล่า

ลอง(นิดหน่อย)แล้วเล่า : Huawei Nova 7 / 7SE / MatePad Pro 5G และ FreeBuds 3i “เพื่อมหาชนเข้าถึง 5G”

ช่วง 3 อาทิตย์ที่ผ่านมา มีนัดกับ Huawei อาทิตย์ละหนึ่งวัน ได้พบของใหม่ที่เตรียมส่งลงตลาดในไทย โดยแต่ละสัปดาห์ที่ได้ไปลองของใหม่ เหมือนมีธีมในแต่ละรอบของมัน สำหรับรอบนี้ ว่ากันด้วยเรื่อง 5G ที่ถ้ามองไปที่สิ่งที่ผู้บริโภคจับต้องได้กับ 5G คงต้องเป็นเรื่องของมือถือ แต่ส่วนใหญ่ในตลาดตอนนี้ มือถือ 5G มีแต่ระดับราคาสูง ๆ ไปเลย ของใหม่ Huawei ครั้งนี้ คือการทำให้ทุกคนเข้าถึง 5G ง่ายขึ้น ด้วยมือถือใหม่สองรุ่นกับ Nova 7 กับ 7SE มือถือรองรับ 5G ที่มาในราคาที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น แต่คงความสามารถหลัก ๆ ที่ไม่แพ้มือถือระดับบนด้วย

แต่ในงานนี้ มีของมาให้ดูทั้งหมดรวม 4 ชิ้น ฉะนั้น ก่อนจะเข้าเรื่อง ขอเล่าถึง MatePad Pro 5G ถือเป็นการทำตลาดแบบเดียวกับ Mate 30 Pro ที่ส่งรุ่น 5G หนังส้ม มาต้อนรับช่วงเปิดใช้งาน 5G ของเครือข่ายอย่าง AIS / True รอบนี้ก็เช่นกัน MatePad Pro มีรุ่น 5G ให้เลือกใช้งาน ถือเป็น Tablet เครื่องแรกในตลาดประเทศไทย ที่รองรับ 5G แบบพร้อมใช้ได้เลย โดยจุดที่แตกต่างหลัก ๆ เมื่อเทียบกับ MatePad Pro คือการใช้สีหลักเครื่องเป็นสีเขียวโทนเข้ม พร้อมฝาหลังที่ใช้วัสดุเป็นหนังสีเขียวด้วย 

มาเล่าถึง Nova 7 กับ 7SE ดีกว่าครับ 

Nova 7SE 

ขอเริ่มที่รุ่นย่อมฯ ก่อน สิ่งแรกที่เห็นกับ Nova 7SE คือการมองไกล ๆ เหมือนเป็น P40 Pro มาปรับแต่งหน้าตากัน แต่สิ่งที่ยังคงบุคลิกในแบบ Nova ที่เน้นความดูแพง เรียกความโดดเด่นในสายตา เครื่องที่ได้ลองเป็นสี Space Silver ที่สวยแบบเงาวับ เงาแบบที่ ถ้าใช้กลางแดด แล้วหันมุมให้ดีพอ ก็น่าจะทำให้คนรอบข้างมีแสบตากันได้ แต่ถ้าไม่ชอบสีเงาวับ Crush Green ที่เงาแบบไม่แสบตา มิติตัวเครื่อง ถือได้ค่อนข้างง่าย ในการถือมือเดียว แล้วกวาดนิ้วโป้งให้ได้มากถึงครึ่งจอของเครื่อง แต่หากเป็นมือผู้หญิง อาจใหญ่เกินมือไปนิด แต่ถ้าชอบใช้สองมือในการถือ ก็ไม่ใหญ่เกินไปที่จะถือเช่นกัน 

หน้าจอขนาด 6.5 นิ้ว แบบ LTPS ความละเอียด FHD+ 2,400×1,080 : 405PPI ทรงหน้าจอแบบ Punch View Display แสดงผลออกมาได้คมชัด สีหน้าจอทำมาได้ดูดี รวมถึงเรื่องมุมมองการใช้งาน ถือว่าทำได้ดีในแบบที่ควรจะเป็น ขอแค่แต่งสีให้ตรงกว่านี้สักหน่อย จะลงตัวทันที แต่ที่น่าจะถูกใจลูกค้าแน่ ๆ คือลำโพงของเครื่อง ให้ความดัง แน่น ของเสียง ที่ดีมาก แบบที่ไม่ต้องเปิดเสียงดังถึงครึ่ง ก็สามารถใช้ประสิทธิภาพลำโพงได้ดี แต่สิ่งที่อยากให้เติมลงไป คือรายละเอียดของเสียงทั้งฝั่งสูงและต่ำ ให้ออกมาชัดเจนกว่านี้ อรรถรสในการใช้งานลำโพงจะสมบูรณ์แบบขึ้นทันที ส่วนกล้องถ่ายรูปของ Nova 7SE ให้มา 4 กล้อง กล้องหลัก 64MP / UltraWide 8MP / Bokeh 2MP / Macro 2MP เมื่อเปิดกล้องถ่ายรูปมาลองดู กล้องทำงานได้คล่องแคล่ว ไม่ว่าจะการถ่ายภาพ หาจุดโฟกัส สลับโหมดต่าง ทำมาได้ลงตัวกับลูกค้าทั่วไป ที่เน้นการถ่ายในชีวิตประจำวัน ถ้าแต่ง White Balance ให้อ่อนลงสักหน่อย ลดความจัดสีสักนิด ลงกับรายละเอียดให้มากขึ้นหน่อย ภาพที่ได้ น่าจะละมุนดูเที่ยงตรงขึ้นมากขึ้นเช่นกัน 

อีกเรื่องที่ได้ลองสักหน่อย คือตัวอ่านลายนิ้วมือของเครื่องเป็นแบบฝังในจอ ซึ่งให้การตอบสนองที่ดี การอ่านอาจไม่ไวเท่าตัวอ่านลายนิ้วมือแบบปุ่มหรือหน้าสัมผัส แต่ก็ทำงานได้ดีมาก ถ้าเทียบกับพวกที่ใช้การอ่านผ่านหน้าจอ ฉะนั้นแล้ว เช็ดจอให้สะอาด เช็ดนิ้วให้แห้ง อยู่ด้วยกันไม่มีหงุดหงิดง่าย ๆ แน่นอน 

ในเวลา 10 นาทีที่ได้ลองใช้งาน ตัวเครื่องใช้ RAM 8GB ความจำในเครื่อง 128GB สบายมากกับการใช้งานในชีวิตประจำวัน เพียงพอสำหรับระดับงบประมาณที่จ่าย เพื่อจะนำไปเล่นเกมที่ใช้กำลังเครื่องประมาณหนึ่ง และการใช้ CPU หลักเป็น Kirin 820 ที่เป็นรหัสที่เทียบเคียงใกล้ ๆ รุ่นระดับบน และรองรับ 5G แบบ NSA คงมีแค่การสร้าง App Gallery ให้สมบูรณ์ เพื่อสอดคล้องกับเครื่องที่พร้อมใช้ การเชื่อมต่อเครือข่ายที่ต้องการ App กับบริการเพื่อให้ศักยภาพการเชื่อมต่อ ได้ถูกใช้สมกับสเปกเครื่องเช่นกัน 

Nova 7 

ถ้าว่ากันแบบไม่อยากเขียนต่อ มันแทบไม่ต่างกันกับ Nova 7SE แต่เมื่ออยู่ในมือแล้ว มันต่างกว่าจริง ๆ ด้วยความบางเครื่องที่ดีกว่า เข้ามือกว่า สีเครื่อง Midsummer Purple กับโลโก้ NOVA ที่ใหญ่กินพื้นที่ครึ่งหลังเครื่องเต็ม ๆ ดูเด่นจนไม่อยากใส่เคสตอนใช้งาน หน้าจอ OLED ขนาด 6.53 นิ้ว แบบ Punch View Display ความละเอียดหน้าจอเท่ากับ Nova 7SE ความ OLED ที่ได้เปรียบเรื่องสี มุมมอง ไม่ว่าจะปัดใช้งานในเมนู ดูวีดีโอ และเล่นเกม เป็นจุดที่ดูดี ขอแค่ลดความเข้มของสีหน้าจอลงสักหน่อย จะได้ทั้งความสบายตา การแสดงผลรายละเอียดที่ลงตัว ไม่ดูกลืนเกินไปในบางภาพหรือบางฉาก อีกจุดที่แตกต่างกับ Nova 7SE คือกล้องถ่ายรูปที่ให้มา 4 ตัวเหมือนกัน แต่ Nova 7 จะได้ Telephoto 8MP มาแทน Bokeh 2MP ทำให้ Nova 7 รองรับการซูมสูงสุด 10X แต่ถ้าจับถ่ายภาพแบบระยะปกติ / แบบมุมกว้าง / มาโคร ก็ไม่ได้เหนือกว่า Nova 7SE แบบชัดเจนนัก ยกเว้นแค่การประมวลผลการถ่าย การทำงานกล้อง ที่อันนี้จะเห็นได้ชัดเจนว่าเร็วกว่า กระชับกว่า Nova 7SE เล็กน้อย การใช้สเปคเครื่องเป็น Kirin 985 ร่วมกับ RAM 8GB ความจุ 256GB ถ้ามองการใช้งานโดยรวม อาจไม่ได้ต่างกับสเปคของ Nova 7SE แต่ถ้าอยากเผื่อไว้เพื่อการเล่นเกม สเปคของ Nova 7 จะดูน่าสนใจขึ้นมาทันที

ส่งท้ายของ Nova 7 / 7SE

ส่วนต่างถึง 5,000 บาท สำหรับกลุ่มลูกค้าที่ซื้อมือถือแนวนี้ เอากันจริง ๆ ถือว่ามากพอสมควร การจ่ายเงินจาก 11,990 บาท จาก Nova 7SE ไป Nova 7 แล้วสิ่งที่ได้หลัก ๆ คือเครื่องที่บางกว่า / จอ OLED / ตัวอ่านลายนิ้วมือที่ปุ่ม / กล้อง Telephoto สำหรับถ่ายภาพบุคคล กับการซูม / เครื่องที่แรงกว่าเล็กน้อย ถ้ามองการใช้งานโดยรวมแล้ว ห้าอย่างที่จ่ายเเพิ่ม ต้องอยากได้กันจริง ๆ เพราะเมื่ออยู่ในมือแล้วใช้งานจริง ๆ Nova 7SE ก็ไม่ได้ด้อยกว่า Nova 7 แบบขาดกันมาก ๆ แต่ถ้าอยากได้มือถือ 5G ราคาไม่ถึง 2 หมื่น Nova 7 ก็ตอบโจทย์ความรู้สึกนี้ได้ แถมยังมีองค์ประกอบของการเป็นเครื่องรุ่นท็อปให้สัมผัสได้ในบางมุมด้วยซ้ำ แต่ถ้าอยากได้ 5G แบบใช้เงินน้อยที่สุด Nova 7SE ก็ไม่ได้ด้อยไปตามเงินที่จ่ายเช่นกัน

แต่ยังไม่จบ ยังมีของอีกชิ้นที่ต้องเล่าถึงกันหน่อย

 

FreeBuds 3i

ช่วงต้นปีที่ผ่านมา FreeBuds 3 พอจะแจ้งเกิดให้ Huawei เป็นหนึ่งในตัวเลือกหูฟังแบบ True Wireless ที่น่าสนใจขึ้นมา ทำตลาดกันมาครึ่งปี ขอส่งรุ่นน้องมาเสริมตลาดด้วย FreeBuds 3i หูฟังไร้สายทรง In-Ear แต่ยังผสานข้อดีของหูฟังไร้สายทรงมีก้านไมค์ฯมาด้วย ที่แน่ ๆ ตลับหูฟังเป็นทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า เปิดฝาออกมา จะเป็นหูฟังทรงแท่งแบบวางขวางในแนวนอนเฉียง ถ้าใช้งานร่วมกับมือถือ Huawei หรือ Android อื่น ๆ สามารถจัดการปรับแต่งการตั้งค่าหูฟังด้วย app ที่ชื่อ Hi-res รวมถึงใช้เพื่อการอัพเดท Frimware หูฟังด้วย

ถ้าไม่ชอบหูฟังทรง AirPods หรือ FreeBuds 3 เพราะใส่แล้วลื่นหลุดจากหูง่าย การได้จุกยาง In-Ear ทรงใกล้เคียงกับ​ AirPods Pro ใส่ใช้งานได้ง่าย ค่อนข้างสบายหู ไม่แน่นในหูจนเกินไป โดยจุดขายสำคัญ คือระบบตัดเสียงรบกวน รวมถึงเป็นครั้งแรกที่หูฟังไร้สายของ Huawei ที่มีระบบตัดเสียงรบกวน ที่ช่วยขยายเสียงแจ้งเตือน เช่นประกาศจากสถานที่ หรือประกาศในสนามบิน แต่ถ้าเป็นเสียงคุยระหว่างบุคคล ฉะนั้น ถ้าเปิดระบบนี้อยู่ และต้องการฟังเสียงการสนทนาระหว่างบุคคล ระบบนี้จะไม่ทำงาน เพราะมองว่าเป็นเสียงรบกวนทั่วไปที่ต้องเคลียร์ แต่เท่าที่ลองฟังแบบไม่เปิดระบบตัดเสียงรบกวน ความเป็น In-Ear ของหูฟัง ก็พอสำหรับใช้ฟังและยังเหลือเสียงรอบข้างที่พอให้รู้ตัวว่า รอบข้างเกิดอะไรขึ้น แต่ถ้าสิ่งแวดล้อมรอบข้ามดังเกินไป ค่อยเปิดระบบตัดเสียงรบกวนผ่านการแตะค้างที่หูฟังด้วยตัวเองได้เช่นกัน คุณภาพเสียงที่ได้ลองฟัง ทำมาเหมือนกับ FreeBuds 3 ปกติ แต่ความ In-Ear ช่วยให้การได้รับคุณภาพเสียงได้คมชัดขึ้น 

หากไม่มีปัญหาเรื่องแบตเตอรี่เก็บประจุได้ไม่ดี / รวมถึงเรื่องบริการหลังการขายที่ ทำหูฟังหาย เท่ากับซื้อใหม่สถานเดียว สัมผัสแรกรวม ๆ ที่ทำได้น่าประทับใจของ FreeBuds 3i ก็พอสำหรับผู้ที่มองหาหูฟังแนว True Wireless ที่มีระบบตัดเสียงรบกวน แต่ราคาไม่แรงจนเกินไปเช่นกัน และบางแง่มุม แอบทำคู่แข่งสายตรงจากเกาหลีมีเหนื่อยได้ด้วย 

 

ราคาและการวางจำหน่าย 

Huawei Nova 7SE มีสองสีได้แก่ Space Silver กับ Crush Green ราคา 11,990 บาท 

*จองวันนี้ถึง 21 มิถุนายน 63 รับของสมนาคุณมูลค่ารวม 4,667 บาท (ได้แก่ Huawei Band 4 Pro / VIP Service / Mobile Cloud Service 15GB นาน 12 เดือน) จำหน่ายจริง  22 มิถุนายน 63

Huawei Nova 7 มีให้เลือกสองสีได้แก่ Midsummer Purple กับ Space Silver ราคา 16,990 บาท 

*เปิดจอง 4-10 กรกฎาคม 63 (รายละเอียดจะตามมาภายหลัง) จำหน่ายจริง 11 กรกฎาคม 63

Huawei Nova 7i สี Skyline Gray ราคา 8,990 บาท 

Huawei Y8p สี Breathing Crystal ราคา 6,990 บาท 

*วางจำหน่าย  22 มิถุนายน 63 เฉพาะ Huawei Store และ JD Central เท่านั้น 

Huawei MatePad Pro 5G สี Forest Green ราคา 29,990 บาท

*จองวันนี้ถึง 26 มิถุนายน 63 รับของสมนาคุณมูลค่ารวม 9,210 บาท (ได้แก่ Huawei Smart Magnetic Keyboard / Huawei M Pencil / Huawei Video / Huawei Cloud Storage / WPS Office) จำหน่ายจริง 27 มิถุนายน 63

Huawei FreeBuds 3i สี Ceramic White ราคา 3,299 บาท 

*จองวันนี้ถึง 21 มิถุนายน 63 รับฟรีเึคสหูฟังมูลค่า 490 บาท จำหน่ายจริง 22 มิถุนายน 63

คณะแกดกวน #teamgadguan

ดลกุล เนตรรัตนากุล (zipboy)

ชื่อเต๋า อายุหลัก 3 ชอบของเล่นไฮเทคทั้งหลาย แต่ไม่ค่อยจะได้เล่น ต้องไปยืมชาวบ้านมาลอง เป็นกรรมกรประจำ #TeamGadGuan รักที่จะเขียน และรักคนอ่านครับ^^