ลองแล้วเล่า

ลอง(นิดหน่อย)แล้วเล่า : Nissan Navara 2021 “หล่อขึ้น และคุยกันง่ายขึ้น”

นี่คือ ครั้งแรกที่บทความเรื่องรถยนต์ใน GadGuan ที่ “ผมขับเอง” โดยไม่ต้องพึ่งน้องในทีมเป็นผู้ลองขับ มันเป็นอะไรที่ ผมรู้สึกดีมาก ความชอบเรื่องรถยนต์ ที่ตอนนี้ได้จับพวงมาลัย และขับด้วยตัวเอง เป็นเรื่องที่ผมทำสำเร็จไปอีกเรื่องซะที ถึงประสบการณ์ขับรถของผม ก็ยังไม่ได้เยอะมากนัก ฉะนั้น สิ่งที่ผมจะเล่าในบทความนี้ ก็อาจไม่ได้เฉียบคม แม่นยำดุจสื่อฯ สายรถยนต์ หรือผู้สัดทัดฯ ด้านรถยนต์นัก ทั้งนี้ ผมขอใช้พื้นที่นี้ ขอบคุณการได้รับเชิญจาก Nissan ให้มีส่วนร่วมกับเหตุการณ์สำคัญ ๆ ในที่ผ่านมา และครั้งนี้ก็เช่นกัน

เมื่อพูดถึง Nissan ผู้ผลิตรถยนต์จากเมืองโยโกฮาม่า ประเทศญี่ปุ่น ทำออกมาได้ดี ได้รับการยอมรับจากลูกค้ามาก ต้องมีรถกระบะอยู่แน่นอน ประสบการณ์ 80 ปี กับชื่อเสียง “ความทนทาน” ในการบรรทุกหนัก คือสิ่งที่ทำให้ Nissan ขายรถกะบะมาได้ตลอด แต่วันเวลาที่ผ่านไป รสนิยมการใช้งานรถยนต์ก็เปลี่ยนไป รถกะบะ กลายเป็นรถที่สามารถใช้งานเชิง Lifestyle ได้ ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ผู้ผลิตรถกะบะทุกแบรนด์ เริ่มมองเห็นถึงตลาดนี้ ที่โตขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นลูกค้ากลุ่มสำคัญไม่แพ้ลูกค้าที่ซื้อไปเพื่อใช้งานบรรทุก

Nissan เองก็ต้องปรับตัวในเรื่องนี้ การเปิดตัว Navara รหัส D40 เมื่อ 2007 ในไทย ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมเห็น Nissan เจาะกลุ่มผู้ใช้กะบะเพื่อ Lifestyle มากขึ้น โดยเฉพาะรุ่น Calibre ที่เป็นแบบขับสอง แต่เปลือกตัวถัง กับการยกสูงให้ดูดีเหมือนขับสี่ ได้รับการตอบรับในตลาดที่ดีมาก ๆ ทำตลาด 7 ปี มาถึงปี 2014 กับการเปิดตัว Navara NP300 รหัสตัวถัง D23 ที่สวยขึ้น ปรับให้เหมาะกับการใช้งานชีวิตประจำวันมากขึ้น แถมมีพี่น้องเป็น Mercedes Benz อยู่พักหนึ่งในรุ่น X-Class ด้วย และถือเป็นหนึ่งในรถที่ช่วยทำเงินให้กับ Nissan ในไทยในช่วงที่ผ่านมาอีกรุ่น ไม่ว่าตลาดรถกระบะจะรุนแรงแค่ไหน Navara ก็สามารถมีที่ยืนในตลาดได้ดีเสมอมา

6 ปีผ่านไป มองไปทุกยี่ห้อที่ทำตลาดรถกระบะแบบจริงจัง Navara ที่เคยดูดี กลายเป็นคนแก่ที่เริ่มสู้กับเพื่อนในตลาดยากขึ้นเรื่อย ๆ สมควรแก่เวลาแล้ว ที่ Nissan Navara ต้องปรับปรุงครั้งใหญ่ เพื่ออยู่ในตลาดรถกระบะที่ดุเดือดเสมอนี้ได้ อย่างน้อยใน 3 ปีนี้ ก็ไม่น้อยหน้าเพื่อนในตลาดแน่นอน และนี่คือสิ่งที่ผมได้ลอง(นิดหน่อย)แล้วเล่า กับ Nissan Navara รุ่นปี 2021 นี้

หล่อขึ้นทุกมิติ

ในการเปิดตัวรุ่นปรับโฉมนี้ Nissan ได้นำงานออกแบบของ Nissan Titan รถกระบะแบบ Full Size (น้ำหนักรถเกิน 2.5 ตันขึ้นไป) ซึ่งตามสมัยนิยมในยุคนี้ ที่ทุกค่าย นำงานออกแบบที่ดูบึกบึน แข็งแกร่ง ในแบบกระบะเมกัน มาถ่ายทอดให้รถกระบะขนาดกลาง (น้ำหนักรถ 1 ตันขึ้นไป) ได้ใช้กัน กระจังหน้าทรงใหญ่แบนเหมือนกำแพงยักษ์ ผสานกับไฟหน้า LED แบบ 4 ดวง ไฟเลี้ยว ไฟท้าย แบบ LED ที่ทำให้หน้าใหม่ของ Navara ดูแข็งแกร่งขึ้นจนโฉมก่อนหน้า ดูหวานไปเลย ด้านข้างตัวรถ ไม่ว่าจะเส้นบ่า ทรงประตู ทรงกระบะท้าย ยังดูไม่ได้ต่างกับ NP300 Navara เดิมนัก แต่ก็ไม่ได้มีผลอะไรมาก เพราะการเปลี่ยนหน้า รายละเอียดหลาย ๆ ส่วน รวมถึงลายล้อขนาด 18 นิ้ว ในรุ่นย่อย 4WD เกรด VL ก็ช่วยให้รถดูสดใหม่ ดึงดูดมากขึ้นแล้ว

แต่ไฮไลท์สำคัญของการปรับโฉมของ Navara คือรุ่นย่อยที่ใช้ชื่อว่า Pro-2X กับ Pro-4X ที่ทำมาเจาะกลุ่มผู้ซื้อรถกระบะใช้งานเชิง Lifestyle เต็มตัว ไปจนถึงวัยรุ่น วัยทำงานที่อายุยังไม่มาก แต่หัวใจรักการลุย ตัวอย่างเช่น เบาะนั่งแบบปรับมือ ที่คล่องตัวสำหรับขาลุย ตัวล็อคสัมภาระด้านท้ายแบบรางเลื่อน ในรุ่น 4X จะได้ล้อ 17 นิ้วพร้อมยางแบบ All Terrain (2X เป็นยางแบบเรเดียลธรรมดา) การตกแต่งที่เน้นสปอร์ตกว่ารุ่นย่อย VL เช่นโลโก้ Nissan สีส้มโทนแดง โป่งล้อ ราวยึดหลังคา กระจังหน้า ที่ใช้สีดำเป็นหลัก พร้อมสีใหม่อย่าง Stealth Grey หรือสีเทานมที่กำลังนิยมในตลาดรถยนต์ยุคนี้

มาที่ภายในบ้าง ถ้ามองแว็บแรก คอนโซลรถที่ใช้ท่อนบนแบบรุ่นก่อนปรับโฉม อาจดูน่าเบื่อไปบ้าง แต่ท่อนที่ถัดลงมาจากช่องแอร์ท่อนบน ถือว่าปรับปรุงได้ดี การนำเครื่องเสียงจอสัมผัสที่รองรับ CarPlay / Android Auto ที่ทำงานร่วมกับกล้องรอบคัน เครื่องปรับอากาศแบบดิจิตอล พอจะกลมกลืนให้ดูใหม่ขึ้นได้ พวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชั่น ที่หน้าตาคล้าย ๆ แบบที่เจอได้ใน Almera รุ่นล่าสุด เบาะหนังปั้มลายนูนทรงเหลี่ยม พร้อมเทคโนโลยี Zero Gravity ปรับไฟฟ้าได้ในรุ่นเกรด VL (รุ่น Pro เป็นปรับมือ) พร้อมสัมผัสในห้องโดยสารจุดที่ร่างกายสัมผัสโดน มีการบุนุ่มด้วยผิวสัมผัสของหนัง และกระจกบานหน้า บานประตูคู่หน้า ใช้กระจกแบบสองชั้นที่เรียกว่า Acoustic Glass ที่ช่วยลดเสียงรบกวนจากด้านนอก ทั้งหมดนี้ ช่วยเพิ่มความสดใหม่ของภายในให้ดูน่าใช้มากขึ้นกว่าเดิม

ไม่ใช่แค่หน้าตาที่ใหม่

ความใหม่ของ Navara ในส่วนงานวิศวกรรม คือการนำเครื่องรหัส YS23DDTT ความจุ 2.3 ลิตร ที่ใช้งานใน Terra มาวางให้ โดยรุ่นเกียร์อัตโนมัติ จะได้เทอร์โบคู่ ให้แรงม้าที่ 193 แรงม้า แรงบิด 450 นิวตันเมตร ส่วนเกียร์ธรรมดา จะได้เทอร์โบเดี่ยว ให้แรงม้าที่ 163 แรงม้า แรงบิด 403 นิวตันเมตร ส่วนรุ่น King Cab ตัวเตี้ย กับกระบะตอนเดียว จะใช้เครื่องเดิมที่ความจุ 2,500 ลิตร ไม่เพียงแค่เครื่องยนต์ใหม่ อัตราทดพวงมาลัย ช่วงล่าง มีการปรับปรุงให้ขับขี่ได้นุ่มนวลขึ้น ขับง่ายขึ้น และลดอาการเด้งดีดในแบบรถกระบะอีกด้วย

ไปขับกัน

ในการลองขับครั้งนี้ เป็นพื้นที่ในสนามปิด ทาง Nissan จัดให้ลองขับแบบทางวิบาก โดยรุ่นที่ได้จัดให้ขับมีดังนี้

  • Calibre เกียร์ธรรมดา (ขอผ่าน เพราะไม่คล่องเกียร์ธรรมดาจริง ๆ ครับ)
  • Calibre เกียร์ออโต้
  • Pro-4X
  • 4WD VL

สิ่งแรกที่สัมผัสในการขับแล้วชอบทันที คือเบาะนั่งแบบ Zero Gravity ปรับให้รับกับสรีระตัวผมได้ง่ายมาก ปรับไม่มาก ก็ได้ท่านั่งที่พอดีกับตัวได้ไม่ยาก ตำแหน่งต่าง ๆ ที่มองจากที่นั่งคนขับ ผมไม่เคยขับรถกระบะมาก่อน แต่พอจะประมาณตำแหน่งได้ว่า แต่ละมุมอยู่ตรงไหน คาดว่าเอาไปขับในชีวิตประจำวัน น่าจะปรับตัวได้ไม่ยาก

พวงมาลัยมีรอบวงที่เล็ก หมุนง่ายแบบที่ผู้หญิงมาขับก็น่าจะชอบ น้ำหนักในความเร็วต่ำหมุนพวงมาลัยสบายเหมือนรถเก๋งเล็ก ๆ หนึ่งคัน แต่อาจเบาไปสักหน่อยสำหรับคนที่ชอบขับรถ วงเลี้ยวต่าง ๆ สามารถหมุนให้เข้าไลน์ได้ค่อนข้างได้ดั่งใจ ระยะฟรีไม่ได้เยอะจนรู้สึกไม่มั่นใจที่จะแต่งพวงมาลัยให้ได้ตามที่ต้องการ มาที่แป้นเท้าสักหน่อย น้ำหนักแป้นเบรคค่อนข้างเบา เหยียบลงไปเหมือนไม่แน่ใจ แต่จริง ๆ รถชะลอลงตามที่กดลงไปได้ดี ผมเองก็ยังไม่ได้ขับรถเก่งมาก แต่รู้สึกเลี้ยงเบรคให้รถชะลออย่างนิ่มนวล ไม่หัวทิ่มได้ไม่ยาก คันเร่งเองก็ค่อนข้างตามเท้า มีหน่วงเล็กน้อย แต่คุมได้ตามที่ใจคิด ไม่ลั่นหรือกระชากง่าย ๆ

ในรุ่นเกียร์ธรรมดาที่ไม่ได้ขับด้วยตัวเอง แต่เป็นนักขับมืออาชีพขับให้ดู สังเกตได้ว่า การเปลี่ยนเกียร์ของรถทำได้ลื่นไหล ไม่กระชากหรือสั่นจนแบบรถกระบะที่เคยเป็น กำลังในการลากออกจากหลุม บ่อน้ำที่ลง หรือเนิน มีแรงดึงที่ใช้งานได้ดี พอมาเป็นรุ่น Calibre / Pro-4X และ 4WD VL ที่เป็นเกียร์อัตโนมัติ ความแตกต่างเห็นทันทีว่า รถมีกำลังใช้งานที่กระฉับกระเฉงกว่ามาก ยิ่งกับช่วงที่ต้องปีนขึ้นจากบ่อน้ำ หรือตอนปีนเนินชัน 45 องศา กดคันเร่งแค่ให้เครื่องทำงานสัก 1500 ถึง 1800 รอบ ก็สามารถลากรถทั้งคันให้ขึ้นจากเนินแบบสบาย ๆ มีแรงแบบที่ตอนขับรุ่น Calibre ที่เป็นขับสองล้อหลังขึ้นจากบ่อน้ำ สามารถกดคันเร่งขึ้นมาจนล้อฟรีทิ้ง รถสะบัด แล้วได้เห็นระบบช่วยการทรงตัว ดึงรถให้กลับมาได้ในวินาทีถัดมาทันที

สิ่งดี ๆ ที่เห็นได้ชัดจาก Navara 2021 สองเรื่องจากการขับในสนามวิบากนี้ คือการเก็บอาการของพื้นถนน ปกติแล้ว รถกระบะที่ไม่มีการใส่สัมภาระ มักจะเด้ง ดีดเอาเรื่องเมื่อขับทางไม่เรียบ บางรุ่น บางยี่ห้อ ก็เล่นซะหัวสั่นหัวคลอนสุด ๆ ช่วงล่างของ Navara ใหม่ในทางวิบาก ถึงไม่ได้ขับความเร็วสูง แต่จากการเหยียบคันเร่งแบบรูดหลุมบนพื้นไปเลย การสะเทือนของรถยังเหลืออาการดีด เด้ง ในแนวที่รถกระบะเป็นอยู่ แต่ถือว่าน้อยลงมาก จนเป็นอีกรุ่นที่พยายามทำช่วงล่างให้ใกล้กับรถเก๋งได้อีกรุ่น และถ้าเทียบประสบการณ์ที่เคยได้นั่งกระบะแบรนด์อื่นมา อย่างน้อย Navara ใหม่ ก็แอบทำได้ดีกว่าเจ้าตลาดแบรนด์หนึ่งในแง่การเก็บอาการดีดเด้งแน่นอน ยิ่งเป็นรุ่น Pro-4X ที่ใช้ล้อ 17 นิ้วร่วมกับยางแบบ All Terrain ด้วยแล้ว ลงตัวมาก ๆ ทั้งในแง่ความนุ่มนวล ยางที่ใช้ลุยได้จริง แต่ถ้าชอบล้อ 18 ของ 4WD VL พอเอารุ่น VL ไปลองขับ ผลของล้อที่ใหญ่ขึ้น ไม่ได้เพิ่มความกระด้างหรือความนุ่มนวลลดลง พยายามจับอาการแล้ว ไม่มีความต่างจนเป็นประเด็น ยกเว้นแค่ยางของรุ่น VL ที่จังหวะขึ้น ลง เนิน 45 องศา ให้การดูดถนนที่ติดพื้นไม่สุดเท่ายางของ Pro-4X ซึ่งเรื่องนี้ผมคิดว่าถ้าคนที่ชอบรถลุย แต่รักของครบในรุ่น VL เงิน 2 หมื่นที่จ่ายน้อยกว่า Pro-4X ถือเป็นทุนค่ายาง All Terrain ละกัน

เก็บอาการได้ดีแล้ว สนามวิบากแบบนี้ เสียงจากข้างนอก ทั้งเครื่อง ยางที่บดถนนกับพื้นวิบาก เก็บเสียงได้ดีมาก ให้อารมณ์เกือบเท่ารถเก๋ง C-Segment ดี ๆ สักคันได้เลย ถ้าอยากเห็นภาพชัด ๆ ให้ติดเครื่องรถไว้ แล้วลงมาจากรถ ฟังสักครู่ แล้วขึ้นรถ ปิดประตูให้เรียบร้อย ความต่างของเสียงภายนอกกับภายในรถ จะชัดเจนเลยว่า ในรถเงียบกว่า ถือว่าจุดขายเรื่องกระจก Acoustic Glass ใช้งานได้จริง นอกจากเรื่องกระจกแล้ว การขับทางวิบากครั้งนี้ ขอยกความดีให้กล้องรอบคันที่ติดมา ภาพคมชัด ไม่หลอกตามาก ช่วยกะ ช่วยเล็งได้จริง เป็นของที่ควรมีใช้ในรถกระบะที่ตัวรถใหญ่ จุดบอดสำหรับคนที่ไม่คุ้นเคยเยอะ และ Nissan มีให้ใช้ตั้งแต่ในรุ่นล่างสุดของ Calibre

นอกนั้นแล้ว พวก Nissan Intellgent Mobilty รวมถึง Nissan Connect อันนี้ไม่ได้ลอง ไว้มีโอกาส ต้องลองแล้วเล่าให้ฟังแน่นอนครับ

ส่งท้าย

ตอนผมเด็ก ๆ เคยมีภาพว่า ตอนซื้อรถได้ การซื้อกระบะขับสี่ แล้วแต่งให้ดูลุย บึกบึน เป็นรถที่เท่ห์มาก ในยุคที่ผมเด็ก ๆ รถกระบะยังมีภาพของเครื่องอึด ๆ 90 แรงม้าก็หรูแล้ว กับเป็นรถสำหรับขนของ หรือถ้าขับเอง ก็เป็นเถ้าแก่กิจการ SME ที่เน้นซื้อมาขายไป แต่ยุคสมัยที่เปลี่ยนไป การใช้ชีวิตที่มีหลายมุม กิจกรรมชีวิตที่มีเรื่องน่าสนใจให้ออกไปโลกกว้าง ทำให้รถกระบะ กลายเป็นรถยนต์ทรงหนึ่งที่ขายความเป็น Lifestyle ได้จริง ๆ

ผมเองก็เคยแต่เป็นคนนั่ง และมีภาพกับรถกระบะในแง่ความกระด้าง โดยสารจริงลำบาก แต่การได้ลอง Navara 2021 ในเวลาสั้น ๆ นี้ ทำให้ผมเชื่อแล้วว่า ผู้ผลิตรถทุกเจ้าที่มีกระบะเป็นสินค้าตัวหลัก ต่างพยายามทำให้รถของตัวเอง ครองใจคนที่ซื้อไปเพื่อขับเป็นปกติ มีกระบะหลังเพื่อขนของบ้าง เพื่อความเท่ห์บ้าง และพยายามดึงความสบายแบบรถเก๋งทางเรียบ มาใส่ในกายภาพของรถกระบะให้ได้ดีที่สุดไปด้วย สิ่งที่ต้องชม Nissan จริง ๆ ในการปรับความสดให้ Navara นี้ คือการนำเครื่องของ Nissan Terra ที่ได้รับคำชมจากสื่อฯ สายรถยนต์ ว่าเป็นเครื่องที่มีกำลัง กินน้ำมันสมเหตุสมผล มาใส่ใน Navara ผลที่ได้ออกมาดีจริง รถกระฉับกระเฉง เรียกแรงมาใช้ได้สบาย แตะเบา ๆ ชิลล์ ๆ ก็มีแรง ส่วนที่เกี่ยวข้องกับการขับขี่ก็ทำมาได้ดี คนขับรถไม่เก่ง (เช่นผม) ก็สามารถขับได้ง่าย หรือผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ก็เอาไปขับได้แบบไม่ลำบาก รวมถึงช่วงล่าง ความแน่นเฟิร์มของรถ ดีขึ้นชัดเจน จนเท่ากับ หรือมีบางมุมในสัมผัสแรกที่ดีเท่ากับตลาดในตอนนี้แล้ว

จุดที่ยังรู้สึกไม่โดนใจในสัมผัสแรก มีอยู่แค่ 2 เรื่องที่ผมคิดออก อย่างแรกคือชุดแผงหน้าปัด ที่รู้สึกว่า ถ้าแก้รายละเอียดท่อนบนให้มันใหม่กว่านี้หน่อย รวมถึงไม่ตัดที่วางแก้วใต้ช่องแอร์ทั้งสองฝั่ง จะดูสดน่าใช้กว่านี้มาก และอีกเรื่องคือ ตำแหน่งนั่งขับที่ยังรู้สึกจมไปสักหน่อยกับรถที่ค่อนข้างใหญ่และสูง จนมองรอบคันตอนขับแล้ว รู้สึกไม่มั่นใจเท่าไหร่…เรื่องนี้น่าจะเป็นที่ประสบการณ์ในการจับรถของผมเอง (มั้งนะ?)

แต่เอาเป็นว่า นี่คือการปรับความสดใหม่ให้ Navara ที่ผมรู้สึกว่า แย่งความสนใจจากเพื่อนร่วมตลาดที่มาจากญี่ปุ่นได้ ถึงจะไม่ได้หน้าตา ความนิยม ไม่ได้หนักแน่นเหมือนฝั่งเมกัน แต่คุณภาพ ความทนทาน รถญี่ปุ่นก็ยังมีแต้มต่อตรงนี้ที่ดีในสายตาผู้บริโภคอยู่ดี

ก็…อย่าสะดุดขาตัวเอง หรือทำการตลาดแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ อย่างที่ผ่านมา Navara ที่ปรับใหม่นี้ ก็เป็นความหวังหมู่บ้านต่อจาก Almera ได้ไม่ยากแน่นอนครับ….ว่าแต่ เมื่อไหร่จะได้ลองเต็ม ๆ ดีครับ อยากลองจริง ๆ นะครับ ><

คณะแกดกวน #teamgadguan

ดลกุล เนตรรัตนากุล (zipboy)

ชื่อเต๋า อายุหลัก 3 ชอบของเล่นไฮเทคทั้งหลาย แต่ไม่ค่อยจะได้เล่น ต้องไปยืมชาวบ้านมาลอง เป็นกรรมกรประจำ #TeamGadGuan รักที่จะเขียน และรักคนอ่านครับ^^