ผมมีกีฬาประเภทหนึ่งที่ชอบดูมาตั้งแต่เด็ก นั่นคือรถแข่งสูตร 1 หรือที่เรียกกันว่า F1 ในทีม F1 จะมีรถแข่งทีมละ 2 คัน นักขับสองคน ทั้งคู่ ต้องทำเต็มที่ เพื่อให้ทีมได้คะแนนนมากที่สุด แต่พอมองไปที่การแข่งขันในตัวบุคคลแล้ว หลีกเลี่ยงการเปลี่ยนเทียบไม่ได้ว่า คนไหนดีกว่ากัน แข่งขันกันเพื่อความอยู่รอด ทั้งที่อยู่ทีมเดียวกัน ได้เครื่องมือลงสนามเหมือนกันแท้ ๆ
มันทำให้ผมคิดอยู่เสมอว่า Galaxy S ที่ได้ชื่อเป็น รุ่นท็อปของค่าย Samsung ศักดิ์ทำมาเพื่อสู้กับตัวท็อปสุดของค่ายอื่น รวมถึง iPhone แต่การมี Galaxy Note เกิดขึ้นใน 10 ปีที่ผ่านมา ทั้งที่เป็นมือถือที่คนละทรง แต่หลายสิ่งที่คู่นี้เป็น ศักดิ์ศรีที่มีทางการตลาด ไปจนถึงเครื่องเครา สเปกต่าง ๆ น่าจะทำให้หลายคนรู้สึกว่า Galaxy S เป็นพระรอง ยิ่งบางปีแล้ว Note สามารถดับรัศมี หรือทำให้รู้สึกว่า ออกแบบนี้ รอซื้อ Note ดีกว่า
ฉะนั้นแล้ว ทั้ง Galaxy S กับ Note จึงอยู่ในสถานภาพที่ไม่ต่างกับนักขับ F1 ที่ต่อให้ทีมบอกว่า ทั้งคู่สำคัญ แต่หลายสิ่งที่ผู้ใช้ ผู้ชม มองเข้าไป มันเหมือนเป็นเกมชิงดีชิงเด่น ที่หลายปีที่ผ่านมา ฝ่ายที่ดูด้อยกว่า ก็อยู่ที่ Galaxy S ซะมากกว่า แต่ไม่ใช่กับ Galaxy S21…

จริงอยู่ว่า หน้าตารวม ๆ ที่เห็นจะชวนให้รู้สึก อืม…อืม…อืม…แต่หลังจากนั่งหลังพวงมาลัย ขับรถกลับมาบ้านนั่งพิมพ์ให้อ่านกันนี้ สัมผัสแรกที่ได้รับคือ….ในที่สุด ผมก็เจอ Galaxy S อีกรุ่น ที่ราศีดี อยู่ไปอีก 1 ปีแบบศักดิ์ศรีสมกับพระเอกซะที ความรู้สึกที่ว่านั่นคือ
หน้าตาใช่ขึ้น

ตอน S20 Series ออกมา ถ้าคิดว่าตอน S10 Series ดูไม่สวย ไม่ลงตัวเมื่อเทียบกับ S8 / S9 ที่ทำมาได้ดีแล้ว S20 Series เป็นหน้าตาที่กลายเป็นดูขี้เหร่สุด เมื่อเทียบย้อนกลับไปตั้งแต่ S6 ที่ถือเป็นยุคยกเครื่อง Galaxy S ครั้งใหญ่จนเป็นรากฐานมากถึงทุกวันนี้
เอาเข้าจริง S21 Series แทบจะไม่ได้เปลี่ยนสัดส่วน หน้าตารวม ๆ จาก S20 Series เลย จะด้านหน้า สันกลาง หรือด้านหลัง แต่สิ่งที่ทำให้มันใช่ขึ้น คือการยกสันกลางให้กลายเป็นกรอบที่ล้อมกล้อง นอกจากได้งานออกแบบที่ดูแปลกตา มันกลายเป็นเกราะป้องกันกล้องขนาดใหญ่ และด้วยสันมุมที่นูนมาคลุมกล้อง ถ้าใช้แบบไม่ใส่เคส อย่าได้ทำหล่นพื้นปูนหรือพื้นแข็ง ๆ เด็ดขาด ไม่งั้นดูไม่จืดแน่นอน แต่จุดที่เปลี่ยนอารมณ์ให้ S21 Series ดูดีสุด ๆ ต้องยกให้กับสองเรื่องหลัก ๆ หนึ่งคือสีตัวเครื่องทั้งชุดในตระกูล Phamthom ที่ไม่ว่าจะเป็นสายหวานอย่าง ม่วง ชมพู หรือเน้นเรียบร้อยอย่าง เงิน และเข้มเท่ห์อย่างสีดำ โดยเฉพาะสีดำ ที่ผมชอบมือถือสีดำเป็นการส่วนตัว ก็ต้องเอยปากชมเลยว่า “นี่คือมือถือสีดำของ Samsung ที่สวยที่สุด นับตั้งแต่ Samsung ทำมือถือขึ้นมาบนโลกนี้!!!” ทุกสี ให้ความดูดี ดูแพง จนเป็นครั้งแรกที่อยากถือเปลือย ๆ ไม่ใส่เคสเลย จุดเล็ก ๆ ที่ส่งเสริมให้สีตัวเครื่องดูดี ดูแพง ขอยกให้การทำสีแกนกลางที่ต้องรับหน้าที่มาคลุมกล้องที่ดูเผิน ๆ ไม่ได้เปลี่ยนอะไรจากอดีต แต่การลดความเข้ม หรือเพิ่มความเข้มของสีส่วนแกนกลาง เพื่อให้รับกับสีฝาหลังมากขึ้น ทำให้ลดความเป็นโลหะเคลือบสีราคาถูก ๆ แบบแต่ก่อน เป็นพัฒนการที่เล็กน้อย แต่เป็นจุดที่ผมรอพัฒนาการนี้มาตลอดชีวิตตั้งแต่ Samsung ทำมือถือขายเช่นกัน

อย่างที่สองคือการจัดเรียงตำแหน่งกล้อง งานออกแบบกล้องของ Note 20 Series กับ Z Flod 5G ถือว่ามาถูกทางจริง ๆ เพียงแต่มันไม่เด่นเพราะมันอยู่ในกรอบกระจกใสแบบเดิม ๆ การเอาทรงเรียงตำแหน่งกล้องแบบ Note 20 Series มาใส่ร่วมกับกรอบกล้องผิวโลหะสีด้าน คือส่วนผสมที่ลงตัวของงานออกแบบ และถ้ามองย้อนกลับไปกับ Galaxy S ทุกรุ่นที่ผ่านมา การจัดวางกล้อง ถือเป็นจุดที่ขี้เหร่สุดของเครื่อง ที่จำได้ว่าพอไปวัดไปวา ก็มีแค่ Galaxy S2 / S9 / S10 นอกนั้นแล้ว เข้าขั้นลดคุณค่า ไปจนถึงชวนให้คิดว่า “ดีกว่านี้ไม่มีแล้ว?” โดยเฉพาะ S21 Ultra ที่ทำให้งานออกแบบส่วนกล้องของ S20 Ultra เป็นงานออกแบบที่ทำส่ง ๆ ให้มันจบ ๆ ไป ฉะนั้นแล้ว S21 Series คืองานออกแบบส่วนกล้องถ่ายรูปที่ผมเห็นแล้ว เอยได้เต็มปากซะทีว่า “สวยที่สุดตั้งแต่มี Galaxy S เกิดขึ้นมาบนโลกนี้”

ไม่ใช่แค่สวย แต่ไม่ว่าจะ S21 สีชมพูที่ผมได้ถือ หรือ S21 Ultra สีดำที่ผมได้ถือ มีงานประกอบที่เรียบร้อย แน่นหนา และจุดที่ดีกว่า S20 Series รอบที่แล้วแบบชัด ๆ คือการจัดวางสมดุลเครื่อง เพราะ S20 รอบที่แล้ว จะเบา ๆ ดูโหวง ๆ เหมือนก้อนพลาสติกถูก ๆ พอเป็น S20 Ultra ก็หนักที่หัวเครื่องจนถ่วงมือตลอดเวลา ใน S21 อาการเบา โหวง กลายเป็นน้ำหนักที่ มีนิด ๆ แต่เบามือ และมั่นคงอย่างที่ควรจะเป็น ส่วน S21 Ultra จากที่หนักหัว ถือแล้วถ่วง กลายเป็นน้ำหนักพอดีมือ พ่วงด้วยความแน่นหนาที่ดี ถือเป็นการปรับปรุงที่ควรจะเป็นและทำออกมาได้ดีด้วย
โดยสรุปในสัมผัสแรกคือ ผมขอยกให้เป็น Galaxy S รุ่นที่อยู่ในเกณฑ์ ทำมาดี และสวยน่าจดจำอีกรุ่นแน่นอน
ปรับมาน้อยนิด แต่มหาศาล

ความใหม่ในการใช้งานของ Galaxy S21 Series ที่ขอให้ยกให้ว่าถูกใจ ใช้ได้จริง มีอยู่ 2-3 อย่างที่จะเล่าในช่วงนี้ อย่างแรกคือ Adaptive Refresh Rate หน้าจอ ที่ปรับให้เองตามการใข้งาน โดย S21 / S21+ ลงไปต่ำสุดที่ 40Hrz ส่วน S21 Ultra ลงไปต่ำสุดที่ 10Hrz และทุกรุ่น รองรับความลื่นไหลที่ 120Hrz เท่าที่ลองดู ต้องชมว่า ทำงานแบบไม่ให้รู้ว่า จอมีการปรับเปลี่ยนไปมา ถ้าไถเบา ๆ หรือใช้แค่ดู แค่อ่านแบบค่อย ๆ รูดอย่างแผ่วเบา จอไม่ได้มีอาการไหลเวอร์ ๆ แบบการตั้ง 120Hrz ตายตัว แต่พอปัดรัว ๆ หรือใช้งานที่ต้องใช้ความสามารถจอ อันนี้ละ จะพอจับได้ว่า จอไหลในแบบที่เร็ว แต่ที่ชอบคือ ไม่ได้ไหลพรืดแบบพยายามลื่นกลบเกลื่อน ฉะนั้น ระบบปรับความลื่นไหลหน้าจอ ใช้งานได้จริง ควรเปิดใช้งานไว้ได้เลย
ไหน ๆ อยู่เรื่องหน้าจอ ก็ต้องบอกว่า S21 Ultra ที่รองรับ S-Pen แล้ว ใข้งานได้เหมือน Note ยุคเก่า ๆ สัก Note 3 หรือ 4 ที่ปากกายังไม่มีลูกเล่นอะไรแพรวพราว แต่ขีดเขียนได้ดี หน่วงน้อย แม่นยำพอสมควร เหมาะกับการไปซื้อ LAMY Safari ที่ออกกับ Note 10 มาเหน็บกระเป๋า หรือแอบจิกปากกาจากก้นเครื่อง Note ของเพื่อนมาใช้แก้ขัด เพราะเคสแบบใส่ปากกาได้ สะดวก แต่มันทำลายความเข้ามือในการจับถือไปหน่อย เอาเป็นว่า การรองรับ S-Pen ของ S21 Ultra คือการเพิ่มความหลากหลายในการใช้งาน เติมเต็มคนซื้อ Note ที่เพราะอยากได้จอใหญ่ ใช้ดี ปากกานาน ๆ ชักที แต่ชักออกมาแล้วก็ดีนะ ให้กลับมาซื้อ Galaxy S อีกครั้ง และไม่ได้ดีพอจนแทนที่คนที่ซื้อ Note เพราะดึงปากกามาใช้วันละหลาย ๆ รอบแน่นอน

ความใหม่ของกล้องถ่ายรูป ขอเริ่มที่การทำให้สิ่งที่มีก่อนหน้า ทำงานได้เฉียบ กระชับขึ้น ตัวอย่างเช่นโหมด 108MP ใน S21 Ultra ที่บันทึกภาพได้ไวขึ้นแบบชัด ๆ หรือ Single Take 2.0 ที่คำนวณสิ่งต่าง ๆ ทั้งภาพนิ่ง วีดีโอ ฯลฯ ได้น่าสนใจขึ้น แต่ของใหม่ที่โดนจริง คือ Director Mode กล้องวีดีโอที่สามารถถ่ายแบบ เห็นทุกมุมว่า ถ้าสลับไปใช้เลนส์ตัวไหน หรือสลับมากล้องหน้า จะออกมาเป็นอย่างไร ใช้งานได้จริง สลับได้เนียน เมื่อรวมกับ 4K 60fps ที่ใช้งานได้ทุกเลนส์ของ S21 Ultra แล้ว มันช่วยให้การใช้งาน แค่คิดมาให้ดีว่า จะเล่าเรื่องอย่างไร สลับเลนส์ให้ตรงตามสิ่งที่อยากเก็บ แล้วไปจบที่การแต่งสี แต่งเสียง ตัดต่อนิดหน่อย ก็ได้ Content วีดีโอแบบจบออกอากาศได้ด้วยเครื่องเดียวเลย ติดอย่างเดียวคือ ความร้อนของกล้องหลังใช้งาน ที่ถือว่าร้อนแบบเลยคำว่าอุ่นไปไกลสักหน่อย
ด้วยเวลาที่ให้ลองได้ประมาณนี้ ผมถือว่า S21 Series ไม่ได้เพิ่มลูกเล่นหวือหวาแบบ Galaxy S ในอดีตมามาก แต่ที่เอามาชูเป็นจุดขาย ใช้งานได้จริงมากขึ้น ไม่ใช่ความสามารถแบบ เล่นให้เพื่อนดู แล้วก็ไม่ได้ใช้อีกเลยแบบแต่ก่อนอีกต่อไป

น้อยนิดกับ Galaxy Buds Pro เพราะทุกอย่างที่ไม่น่าประทับใจใน Galaxy Buds ทุกรุ่นที่ผ่านมา ได้รับการปรับปรุงแล้ว ไม่ว่าจะตัวล็อคหูฟังที่ใช้แม่เหล็ก เปิดตลับมาไม่ร่วงแล้ว ตามด้วยตอนหยิบใส่ นิ้วไปโดนแล้วไม่ติด ไม่เล่นเพลงให้แบบงง ๆ ใส่ง่ายขึ้น เข้าหูได้ดีขึ้น แต่เรื่องเสียงกับ Adaptive ANC ขอติดไว้ก่อนว่าใช้จริงได้ไหม
ส่งท้าย

นานมาแล้ว ที่ผมไม่รู้สึกว่า Samsung รัก ตั้งใจ หรือให้ความสำคัญกับคำว่า “พระเอก” ต่อ Galaxy S เพราะทุกปีที่ผ่านมา มันจะเหมือนมือถือพระเอกที่พิการนิด ขาดหน่อย เกินไปบ้าง แล้วทุกอย่างไม่กลมกล่อมที่ Galaxy Note มาโดยตลอด รอบสุดท้ายที่ดูเป็นพระเอกตัวจริง ก็คิดออกแค่ 2 รอบ คือ Galaxy S6 เพราะ S5 ออกมหาสมุทรไปแล้ว ส่วน S8 ก็เพราะ Note 7 มีเหตุคาดไม่ถึง สองรุ่นนี้มีเหตุร่วมกันคือ “ความจำเป็น” พอมาถึง S21 แล้ว ด้วยสถาณการณ์ Covid-19 ที่หากไม่ทำอะไรกับ Galaxy S ให้ดูดีจริง ๆ ต้องส่งผลต่อยอดขายแน่นอน

สัมผัสแรกที่ได้ลอง ผมถือว่า Samsung ทำสำเร็จในเบื้องต้นแล้ว ไม่มีอะไรตะขิดตะขวงใจ หรือทำให้ผมจำกลับมาเขียนในแนวผิดหวังได้ ฉะนั้น ถ้า Android เครื่องที่ถืออยู่ เก่าสัก S10 / S8 หรือแบรนด์อื่นในฝั่ง Android ที่ใช้นานกว่า 2 ปีแล้ว S21 Series เป็นตัวเลือกที่ผมสนิทใจขึ้นที่จะพิมพ์ว่า “น่าสนใจ” ให้กับทุกคนได้ใส่เป็นตัวเลือกในการเปลี่ยนมือถือใหม่

Samsung Galaxy S21 เปิดขายทั้ง 3 รุ่น ทั้ง S21 / S21+ / S21 Ultra ทุกรุ่นรองรับ 5G ทุกเครือข่ายในไทย เปิดราคาเริ่มต้นที่ 27,900 บาท สำหรับ S21 / 33,900 บาท สำหรับ S21+ และ 33,900 บาท สำหรับ S21 Ultra ทุกรุ่น ทุกสี แม้ทุกกล่องจะแถมแค่สาย USB-C มาให้ แต่ที่ชาร์จ 25W ของ Samsung เค้าปรับลดราคาลงมาเหลือแค่ 490 บาท เท่านั้น เริ่มขายจริง 29 มกราคมนี้ ส่วนตอนนี้ เปิดให้จองกันแล้วครับ
พบกันตอนอยู่กับเครื่องจริงยาว ๆ นะครับ : )