ถ้า Smartphone คือคอมพิวเตอร์เคลื่อนที่ของทุกคน แบบที่ขาดกันไม่ได้แล้ว ข้อมือซ้ายของคนในโลกตอนนี้ ก็ถูกแทนที่ด้วยนาฬิกา Smartwatch จากเทรนด์สุขภาพ เพื่อความสะดวกในการใช้งานร่วมกับมือถือ หรือใช้สลับกับนาฬิกาข้อมือเรือนเดิมที่คุ้นเคย แต่ตลอด 4-5 ปีที่ผ่านมา มองไปที่ข้อมือทุกคน ก็น่าจะได้เห็น Smartwatch จากทุกค่าย พยายามแย่งพื้นที่ข้อมือให้ได้มากที่สุด
ถ้า Huawei แจ้งเกิดจากกล้องมือถือที่ทำร่วมกับ Leica อีกสิ่งที่ถือว่าแจ้งเกิดให้ Huawei ก็คือนาฬิกา Watch GT ที่มาในหน้าตาดูดีมาก ความสามารถครบเครื่อง ในราคาที่ถือว่าสมเหตุสมผล อุดช่องว่างตลาดที่เวลานั้นมีแต่ Smartwatch ระดับหมื่นกลาง ๆ ไปยังระดับสองหมื่น ส่วนราคาต่ำกว่าหมื่น ก็จะได้สินค้ารุ่นเก่า ทำให้ ณ เวลานั้น Watch GT ขายดีแบบขาดตลาดไปนาน สร้างฐานลูกค้าไว้ได้ดีทีเดียว
แต่ปัจจุบัน ทุกสิ่งเติบโตขึ้น Smartwatch มีทุกระดับให้เลือก ตั้งแต่ทรงสายรัดข้อมือ แต่ทำได้ครบเครื่อง ราคาไม่ถึง 3,000 บาท จนถึงนาฬิกาแบรนด์เนมลงมาทำตลาดเอง เพียงแค่นี้ก็น่าจะดุเดือดพอให้ Huawei ทำ Wacth GT แบบเดิมไม่ได้อีกต่อไป รุ่นสานต่อความสำเร็จจึงแบ่งเป็นสองรุ่นหลักได้แก่ Watch 3 กับ Watch 3 Pro โดยรุ่นที่ Pro จะเน้นความหรู สปอร์ต ในแบบนาฬิกาแบรนด์ชั้นดี แต่รุ่นที่ที่ได้มาลองกัน เป็น Watch 3 ที่ทำได้พอ ๆ กับ Pro แต่หน้าตาดูเข้าถึงทุกเพศทุกวัยได้ง่ายกว่า
ผมยังคิดถึงเรื่องดี ๆ ที่ Honor Magic Watch 2 ในปีที่แล้วหลายอย่าง และคิดอยู่ว่า นาฬิกาที่สร้างชื่อให้ Huawei เรือนนี้ เติบโตไปอย่างไร ในวันที่ราคาขายไปถึงหลักหมื่น สิ่งที่ได้มา จะคุ้มค่ากับราคา หรือเป็นเพียงแค่นาฬิกา Smartwatch ที่ทำได้พอ ๆ กับตลาดเท่านั้น ภาพรวมที่ลอง ก็ประมาณนี้ครับ…
ส่องรอบตัว
ตัวเรือนนาฬิกามีขนาดหน้าปัดทรงกลมขนาด 46mm (1.43 นิ้ว) กระจกหน้าจอแบบขอบโค้ง ใช้หน้าจอแบบ AMOLED ความละเอียด 466×466 (326PPI) หน้าจอรองรับการสัมผัส ปัด และรับแรงกดได้
ตัวเรือนใข้สเตนเลส 316L มีให้เลือกสองแบบ ถ้าเรือนสีดำเงาเป็นรุ่น Active Edition ส่วนเรือนสีเงินเงาเป็นรุ่น Classic Edition โดยรุ่นที่นำมาลองแล้วเล่าคือรุ่น Active Edition ฝั่งขวาบนของตัวเรือนเป็นเม็ดมะยมแบบลอยออกจากตัวเรือน ส่วนด้านล่างของฝั่งขวาเป็นปุ่มลัดเข้าเมนูที่ใช้งานประจำ (ตั้งค่าด้วยตัวเองได้)
ฝาหลังของเรือนเป็นวัสดุเซรามิก วงนอกสุดฝั่งขวา มีจุดหนึ่งช่องเป็นไมโครโฟนรับเสียง วงนอกฝั่งซ้าย มีจุดสามจุดเป็นช่องลำโพง รอบ ๆ วงในของเซนเซอร์ จะพิมพ์รายละเอียดของนาฬิกาทั้งหมด ส่วนวงในสุด เป็นเซนเซอร์วัดอัตราการเต้นหัวใจ / อุณหภูมิ ฯลฯ ที่ใช้ประกอบข้อมูลสุขภาพ และฝาหลังเป็นที่ชาร์จไฟผ่านสายชาร์จแบบแม่เหล็กที่ให้มากับกล่อง
สายนาฬิกาที่ให้มาในรุ่น Active Edition เป็นสายแบบยางสีดำ ห่วงคล้องรัดสายป็นโลหะสีดำพิมพ์ Huawei ยางรัดสายนาฬิกาหลังคล้องให้มาสองจุด เปลี่ยนสายได้ง่ายด้วยการกดสลักด้วยเล็บ แล้วสายจะหลุดออกเอง และใส่สายใหม่ด้วยการใส่สลักข้างหนึ่งก่อน แล้วกดสลักค้างไว้ เล็งให้ตรงล็อค แล้วปล่อยนิ้วที่ดันสลักเบา ๆ หากเรียบร้อยก็จะลงล็อคเอง
ปีที่แล้วผมได้อยู่กับ Honor Magic Watch 2 ที่เป็นร่างทรงของ Watch GT2 ในตอนนั้นก็ว่านาฬิกามีหน้าตาที่ใช่ แต่ขาดองค์ประกอบรวมที่ดูดี ดูแพง พอได้ทาบ Huawei Watch 3 กับข้อมือตัวเอง นาฬิกาหน้าตาดีเรือนที่เคยจำได้ กลายเป็นนาฬิกาที่หล่อจบมากขึ้น หน้าปัดทรงกลมที่คนส่วนใหญ่ชอบ เม็ดมะยมที่วางให้ใช้นิ้วชี้มือขวาควบคุมได้ง่าย ตัวเรือนมีการขัด ทำสี ขึ้นรูปที่ดูรวม ๆ อาจไม่ได้เปลี่ยนไปจากรุ่นก่อน แต่การได้ฝาหลังเป็นเซรามิกเงา ช่วยส่งให้หน้าตาที่เคยทำมาดีในรุ่นก่อนหน้า หล่อจบไม่ต้องติอีกต่อไป หากจับเทียบกับ Smartwatch ที่ใช้งานออกแบบหน้าปัดกลมด้วยกันแล้ว คงไม่อวยเกินไปที่จะบอกว่า Huawei Watch 3 เป็นหนึ่งใน Smartwatch ที่สวยขึ้นข้อที่สุดในปี 2021 นี้
แต่ใช้ว่าทั้งหมดนี้จะลงตัวกับทุกคน หน้าปัดขนาด 46mm ชัดเจนเลยว่า ใส่สวยกับผู้ชายที่มีหุ่น มีเนื้อมีหนังหน่อย ผู้ชายที่ผอมแห้ง หรือผู้หญิงที่ตัวเล็กจริง ๆ นาฬิกาเรือนนี้จะล้นข้อมือไป รวมถึงการใส่แบบหลวม จะลดความแม่นยำของสารพัดเซนเซอร์สุขภาพ ที่จำเป็นต้องสัมผัสกับผิวหนังที่ข้อมือตลอดเวลาด้วย อย่างต่อมาคือน้ำหนักนาฬิกาที่หนักขึ้นจาก 41 กรัม เป็น 54 กรัม น้ำหนักส่วนที่เพิ่ม อาจทำให้คนที่เคยชอบความเบาข้อมือใน Watch GT รุ่นก่อน ๆ รู้สึกหนักขึ้นแบบสัมผัสได้ แต่ถือว่าแลกกับสัมผัสของตัวเรือนที่หนักแน่นขึ้น ต่อให้ตัดเรื่องน้ำหนักออกไป งานประกอบโดยรวม ก็เรียกว่าดีขึ้นกว่าสองรุ่นแรก สลัดภาพหน้าสวย หลังก็อกแก็กได้หมดจด
สิ่งที่ไม่ลงตัวต่อมา คือเม็ดมะยมของนาฬิกา ตำแหน่งที่วาง มีปัญหากับคนที่ถนัดซ้าย ถ้าใส่แบบให้เม็ดมะยมไปทางแขนขวา การควบคุมด้วยมือซ้ายจะกลายเป็นบังหน้าจอ ถ้าใส่ให้ถูกกายภาพ ก็ต้องหันเม็ดมะยมไปทางหลังมือ แต่ตัวซอฟท์แวร์ไม่สามารถกลับการแสดงผลหน้าจอ กลายเป็นว่า ใส่ถูกกายภาพของคนถนัดซ้าย แต่ได้ใช้นาฬิกาหน้าจอกลับหัวแทน ขอให้ทาง Huawei ออกอัพเดทมาเสริมในอนาคตจะดีมาก อย่างสุดท้ายคือตัวสายยางของนาฬิกา เนื้อยางไม่ใช่ปัญหา งานออกแบบไม่ใช่ปัญหา ระบบสลักในการเปลี่ยนสาย ก็ไม่ใช่ปัญหา แต่ปัญหาคือการเคลือบผิว ที่ทำให้สายดูเหมือนมีอะไรเปื้อนตลอดเวลา มีแนวโน้มที่ใช้ไปนาน ๆ จะขึ้นเงาจนดูไม่สวย รวมถึงระคายเคืองกับเหงื่อในบางสถาณการณ์อีกด้วย ในอนาคต ลองหาวิธีเคลือบที่ทำให้ดูดี และใช้งานจริงได้ลงตัวกับ สมจุดประสงค์ของสายแบบยาง ก็จะลงตัวกับเรือนที่ทำมาหล่อจบแน่นอน
ลองใช้งาน
Huawei Watch 3 ใช้ระบบปฎิบัติการ HarmonyOS 2.0 เชื่อมต่อ ควบคุมผ่าน Huawei Health รองรับทั้ง Android และ iOS ส่วนโครงสร้างหน้าตา การควบคุมดังนี้
- หน้าจอหลักเป็นหน้าปัดนาฬิกา กดหน้าจอค้างสักครู่ จะเป็นการเปลี่ยนหน้าปัดนาฬิกา
- ขณะอยู่ในหน้าปัดนาฬิกา ปัดหน้าจอจากบนลงล่างเปิดการตั้งค่าลัด / สถานะแบตเตอรี่ การเชื่อมต่อ
- ขณะอยู่ในหน้าปัดนาฬิกา ปัดหน้าจอจากล่างขึ้นบน ดูการแจ้งเตือนจากโทรศัพท์ที่เข้ามา
- ขณะอยู่ในหน้าปัดนาฬิกา ปัดหน้าจอจากซ้ายไปขวา เป็นการดูข้อมูลอากาศ / ควบคุมเพลงที่มือถือใช้งานอยู่ (ไม่รองรับการควบคุมเพลงใน iOS)
- ขณะอยู่ในหน้าปัดนาฬิกา ปัดหน้าจอจากขวาไปซ้าย เป็นการดูข้อมูลสุขภาพได้แก่ วงแหวนสถานะกิจกรรมประจำวัน / อัตราการเต้นของหัวใจ / ค่า O2 ในเลือด / อุณหภูมิผิวหนัง และทั้งหมด ปรับลำดับตามที่ชอบได้
- กดเม็ดมะยมเพื่อเข้าเมนูหลัก แสดงผลได้สองแบบ แบบแรกเป็นไอค่อนรวม แบบที่สองเป็นแถบรายชื่อแนวตั้ง
- ทุกการเข้า App หรือเข้าการใช้งานอะไรก็ตาม ปัดจากซ้ายไปขวา คือการถอยกลับไปหน้าเมนูก่อนหน้า หากกดเม็ดมะยม จะเป็นการกลับไปหน้าปัดหน้านาฬิกา
โดยรวมแล้ว แทบไม่ต้องปรับตัวจาก Watch GT เรือนก่อนหน้าที่คุ้นเคย แต่ถ้าไม่เคยใช้มาก่อน เข้าใจวิธีการแล้ว ก็เข้ามือได้ไม่ยาก มาดูความสามารถของ Watch 3 กันดีกว่า
หน้าปัดนาฬิกา
รุ่นที่แล้ว หน้าปัดนาฬิกามีแค่พอใช้ แถม iOS ก็เพิ่มไม่ได้ เล่นมากกว่าที่ให้ก็ไม่ได้ ใน Watch 3 + Harmony 2.0 ปลดล็อคส่วนนี้ให้ iOS แล้ว เปลี่ยนหน้าปัดที่นาฬิกาด้วยการกดหน้าปัดนาฬิกาค้าง แล้วเลือกได้เลยว่าจะใช้หน้าปัดอะไร หรือจะเปลี่ยน โหลดเพิ่ม ซื้อเพิ่ม ในการตั้งค่าหน้าปัดนาฬิกาของ Huawei Health และรองรับ Always On Display โดยหน้าปัดจะแสดงผลแค่เท่าที่จำเป็น ให้มองจากภายนอกเหมือนใส่นาฬิกาข้อมือจริง ๆ แต่พอยกแขน การแสดงผลหน้าปัดทั้งหมดจะโผล่ขึ้นมาเอง
หน้าปัดนาฬิกามีควาหลากหลายขึ้น เสียดายเล็กน้อยที่หน้าปัดนาฬิกา ตั้งค่ารายละเอียดในแต่ละหน้าปัดไม่ได้ แต่ภาพรวม ดูดีขึ้นเมื่ออยู่ในหน้าจอที่ใหญ่ขึ้น คมชัด สวยขึ้น ติดนิดหน่อยที่ กระจกมีการสะท้อนแสงมากไป ทำให้เวลาใช้งานกลางแดด ยังสะท้อนมากไป ฝากเคลือบสารตัดแสงที่กระจก หรือสะท้อน UV ดี ๆ ในรุ่นหน้าก็จะลงตัวทันที ไปจนถึงการตอบสนองเวลายกมาดูเวลา หน้าปัดติดช้าไป ติดแล้ว ดันดับหน้าจอทิ้งเร็วไปด้วย ปรับการทำงานโหมด Auto ในการแสดงผลสักหน่อยก็จะลงตัวเช่นกัน
เมนูใช้งาน / การแจ้งเตือน
เมนูการใช้งานหลักของ App เข้าด้วยการกดเม็ดมะยมหนึ่งครั้ง แสดงผลได้ทั้งแบบไอค่อนกระจายทั้งหน้าจอ หรือแบบรายการในแนวตั้ง สลับตำแหน่งการจัดวางได้ตามสะดวก ออกจากหน้าเมนูด้วยการปัดจากซ้ายไปขวา หรือกดเม็ดมะยมก็ได้
นอกจากเมนูหลัก มีเมนูลัดสำหรับตั้งค่านาฬิกา เพียงปัดจากบนลงล่างในหน้าปัดนาฬิกา ตัวอย่างเช่นการเปิดไฟฉาย / หาโทรศัพท์ / เปิดเสียงหรือปิดเสียงแจ้งเตือน และสถานะการเชื่อมต่อ แบตเตอรี่
การแจ้งเตือนของเครื่อง ปัดจากด้านล่างของหน้าปัดขึ้นมา จะแสดงผลแบบตามเวลา บนสุด=ล่าสุด เมื่อแตะเข้าไปดู หากมีการแจ้งเตือนจาก App ดังกล่าว ที่เกิดขึ้นในเวลาก่อนหน้า ข้อมูลการแจ้งเตือนทั้งหมดของ App ดังกล่าว สามารถปัดดูทั้งหมดได้ หากต้องการลบการแจ้งเตือน แค่ปัดจากขวาไปซ้ายก็เรียบร้อย
ความสามารถเรื่องเวลา มาครบทั้งนาฬิกาปลุก นาฬิกาจับเวลาแบบเดินหน้า ถอยหลัง ทั้งหมดสามารถตั้งค่าใช้งานจากนาฬิกาได้โดยตรง
ใช้งานแบบผู้ช่วยมือถือของเรา ก็มาครบ ทั้งรับสาย โทรออก คุยโทรศัพท์ด้วยนาฬิกา โทรออกได้ทั้งแบบกดเบอร์จากนาฬิกา หรือโทรด้วยรายชื่อในสมุดโทรศัพท์ที่ซิงค์เข้านาฬิกาเรียบร้อย ที่เด็ดเป็นพิเศษคือ ถ้ามีสายเข้าขณะสวม Huawei Watch 3 แค่กำมือแน่น ๆ สัก 2-3 วินาที นาฬิกาจะรับสายให้เอง (ต้องตั้งค่าก่อนใช้งาน) โดยที่ไม่ต้องใช้มืออีกข้างมาแตะจอ หรือต้องยกข้อมือมาดูก่อนว่าใครโทรมา เป็นอะไรที่สะดวกมาก โดยเฉพาะตอนกำลังขับรถอยู่ และรองรับ e-SIM เพื่อการใช้งานนาฬิกาแบบไม่ต้องพกมือถือติดตัว ในเวลาที่อยากไปออกกำลังกาย ทำงาน ทำธุระ ที่อาจจะห่างจากรัศมีมือถือของเรา (ตั้งค่า e-SIM สอบถามกับเครือข่ายที่ใช้งานได้ด้วยตัวเอง) ลืมบอกไป…การสั่นของนาฬิกาที่เคยสั่นลั่น ๆ มอเตอร์แรงเหมือนทำลายล้าง เป็นการสั่นอย่างผู้ดีชนิดที่สมกับเป็นนาฬิกาแพงซะที
รู้เรื่องอากาศประจำวันได้ เพียงเปิดใช้เมนูสภาพอากาศในเครื่อง นาฬิกาจะแสดงข้อมูลอากาศอิงตามตำแหน่งใช้งาน แบบเดียวกับที่เราเปิดดูในมือถือของเรา และอัพเดทดูจากนาฬิกาได้โดยตรง
ควบคุมเพลงผ่านนาฬิกาได้ โดยอิงจากเพลงในมือถือได้ ไม่จำกัดว่าจะต้องเป็นเครื่องเล่นเพลงของมือถือ ใช้ผ่าน App ฟังเพลงต่าง ๆ ได้เลย อย่างเช่นการทดลองของผม ที่ฟังเพลงด้วย Apple Music นาฬิกาก็สามารถแสดงเพลงที่ฟัง ควบคุมการเล่น การข้ามเพลง หรือกลับไปเพลงก่อนหน้าได้ แต่น่าเสียดายที่ความสามารถนี้ รองรับแค่ใน Android เท่านั้น
เมื่อ Watch 3 ใช้ Harmony 2.0 นาฬิกาจึงมี App Gallery มาให้เลือกลง ถึงจะไม่มาก แต่หลาย ๆ App จะออกแนวเน้นไปทางเพื่อสุขภาพ การออกกำลังกาย เลือก+ติดตั้ง App จาก App Gallery ในนาฬิกาได้โดยตรง และ App ที่ติดตั้งภายหลัง อัพเดทผ่านนาฬิกาได้เลย
ความสามารถจิปาถะ แต่ต้องมี ก็ครบแบบ Smart Watch ยุคใหม่ ไม่ว่าจะเข็มทิศ / Barometer ที่วัดความกดอากาศกับวัดความสูงจากระดับน้ำทะเล ยังคงมีให้ใช้ พร้อมด้วยหน้าตา App ที่ดูน่าใช้เช่นเดิม
สุขภาพ...คือจุดขาย
สิ่งแรกที่ผมจำได้ ถ้าถามว่า Huawei Watch ให้เหตุผลอะไรที่น่าซื้อ ก็คงตอบได้ว่า “เป็นนาฬิกาออกกำลังกาย ที่ราคาจับต้องได้ แต่ยังใส่หล่อ ๆ ไปทำงานต่อได้” และ Watch 3 ก็ยังจุดขายนี้ได้ครบเครื่อง เริ่มที่เมนูการออกกำลังกาย มีให้เลือกครบแบบ Smartwatch ยุคใหม่ ไม่ว่าจะออกกำลังกายในแขนงไหน ชอบกีฬาประเภทไหน ก็มีให้เลือกใข้งานได้ครบ ใครเป็นสายวิ่งจะรักเป็นพิเศษ เพราะ Watch 3 มีเมนูย่อยของการวิ่ง ตรงกับตารางฝึกซ้อมที่จำเป็นในการวิ่ง
เลือกการออกกำลังกาย แล้วลงไปลุยได้เลย หน้าจอแสดงสถานะขณะออกกำลังกาย ยังใช้ประโยชน์จากหน้าปัดทรงกลมได้ดีเยี่ยม แถบเข็มวัดโซนของการเต้นหัวใจ / เวลา / การเผาผลาญพลังงาน จัดวางให้อ่านง่าย และมีแจ้งเตือนทุก 10 นาที ขณะออกกำลังกาย ว่าตอนนี้เผาผลาญเท่าไหร่แล้ว อัตราการเต้นหัวใจเฉลี่ยเท่าไหร่
ออกกำลังกายเสร็จ ดูบันทึกข้อมูลจากนาฬิกาใน Workout Records หรือภาพรวมในการออกกำลังกายที่ Workout Status เพื่อดูเวลาในการพักฟื้น / ออกฯ หนักไปหรือเบาไป / ความอึดของร่างกาย (V02Max)
พักผ่อนที่ดีที่สุด คือการนอน เพื่อการนอนที่วัดผลได้ เพียงใส่ Watch 3 ให้สบาย ๆ ข้อมือ แล้วนอนพัก นาฬิกาจะตรวจคุณภาพการนอน ว่าได้นอนนานแค่ไหน เป็นการนอนที่สนิทจริงนานแค่ไหน รวมถึงการงีบพัก ก็สามารถดูประสิทธิภาพการพักได้เช่นกัน
วัดอัตราการเต้นของหัวใจแบบอัตโนมัติ แสดงข้อมูลแบบกราฟ ระบุอัตราการเต้นที่เบาที่สุด / สูงที่สุดของผู้ใช้ รวมถึงสถิติการเต้นของหัวใจตอนออกำลังกาย ว่าแต่ละช่วงตรงกับโซนไหนบ้าง รองรับการวัดค่าออกซิเจนในเลือด (SpO2) นาฬิกาจะคอยวัดให้อัตโนมัติ เมื่อผู้สวมใส่อยู่นิ่ง ๆ และวัดด้วยตัวเองได้ เพียงแค่นั่งหรือยืนนิ่ง ๆ ขณะนาฬิกาวัดค่าดังกล่าว เป็นเวลาประมาณ 15-20 วินาที
วัดความเครียดของผู้สวมใส่ได้ ผ่านการคำนวณจากข้อมูลอัตราการเต้นหัวใจ ลักษณะทางกายภาพอื่น ๆ ประกอบการแจ้งเตือน โดยการใช้งานต้องทำแบบประเมินทัศนคติใน Huawei Health ที่เมนู Automatic stress test (อยู่ในการตั้งค่านาฬิกา)
การนั่งสมาธิ ถือเป็นการคลายเครียดที่ดี โลกตะวันตกยังยอมรับ ทำให้ Smartwatch ยุคใหม่ มีเมนูการนังสมาธิมาด้วย ใน Watch 3 มี Breath Exercises ให้ผู้ใช้งานกำหนดการเข้า ออก ลมหายใจ โดยการสั่น 3 ที เบา ๆ จะบอกให้เราหายใจเข้าช้า ๆ ลึก ๆ ค้างไว้สักครู่ หายใจออกช้า ๆ จนหมด หากทำได้ถูกต้อง จังหวะที่หายใจออกหมด จะพอดีกับการสั่นให้เราหายใจเข้า สามารถตั้งค่าความเร็วในการหายใจ ให้สอดคล้องกับจังหวะร่างกาย และตั้งระยะเวลาในการกำหนดลมหายใจแต่ละครั้งได้ สูงสุด 3 นาที
นาฬิกาสามารถวัดอุณหภูมิผิวหนังได้ เพื่อหลีกเลี่ยงการอยู่กลางแดดนานเกินไป หรือลดความร้อนร่างกายหากออกกำลังกาย หรือประยุกต์เป็นปรอทวัดไข้ได้ หากอุณหภูมิที่ผิวหนังที่วัด ดูจะร้อนผิดปกติ จะได้ประเมินอาการได้คร่าว ๆ ว่าขณะนี้ เราเป็นไข้อยู่หรือไม่?
แบตเตอรี่ / การใช้พลังงาน
Huawei Watch 3 ไม่ได้ระบุความจุแบตเตอรี่มาในสเปก แต่ระบุไว้ว่า ถ้าใช้งานเต็มทุกความสามารถ จะเฉลี่ยได้สูงสุดที่ 3 วัน แต่ถ้าใช้คู่กับ iPhone จะเหลือแค่ไม่เกิน 2 วัน แต่ถ้าเปิดระบบประหยัดพลังงาน จะยึดไปได้สูงสุดที่ 14 วัน ชาร์จไฟกลับได้เร็วสุดที่ 10W (ขึ้นกับหัวชาร์จที่ใช้งาน)
ในการใช้งานจริง ถ้าใช้งานร่วมกับ iPhone ใช้แบบทุกความสามารถนาฬิกา จะอยู่ได้ครบ 1 วันพอดี แต่ถ้าใช้งานร่วมกับ Android จะอยู่ได้ประมาณ 2 วันพอดี หรือถ้าใช้ออกกำลังกายมากกว่า 2 กิจกรรมในวันเดียว นาฬิกาก็ใช้ได้แค่ครบ 1 วันพอดีเช่นกัน
หากเปิดระบบประหยัดพลังงาน Watch 3 จะตัดการเชื่อมต่อทุกอย่างออก หน้าปัดจะใช้แบบเรียบ ลดกราฟฟิกแต่ยังใช้ความสามารถด้านออกกำลังกาย วัดค่าสุขภาพต่าง ๆ ได้ครบเหมือนเดิม เพียงพอสำหรับการอยู่แบบไม่ต้องชาร์จใน 7-8 วันแรกได้แน่ ๆ แต่ถ้าเร่ิมใช้โหมดประหยัดพลังงานตั้งแต่แบตเตอรี่ 100% เต็ม สามารถอยู่ได้ประมาณ 10-11 วัน ก่อนที่แบตเตอรี่จะเหลือระดับ 10%
ในการชาร์จกลับ Watch 3 ใช้ที่ชาร์จแบบแม่เหล็กปะติดกับฝาหลัง ชาร์จกับหัวชาร์จมือถือที่รองรับ USB-A หากมีที่ชาร์จมือถือที่เร็วกว่า 10W สามาารถใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ในการชาร์จนาฬิกาจากแบตเตอรี่ประมาณ 15-20% ให้เต็ม 100% พร้อมใช้ได้
โดยสรุปแล้ว เสน่ห์เรื่องใข้ได้นานมากของรุ่นก่อน อาจไม่ใช่กับ Watch 3 ที่เลือกเป็น Smartwatch ที่มาทางเน้นประสิทธิภาพใช้งานแล้ว การอยู่ได้ครบวันแน่นอน ชาร์จกลับได้เร็ว ก็ถือว่าสมเหตุสมผล และมีโหมดประหยัดพลังงานที่ใช้ได้จริง ไม่ลดอรรถรสในการใช้งานมาเกินไป เพื่อช่วยให้การเดินทาง หรือเพราะลืมชาร์จออกมา ได้ใช้นาฬิกาอย่างราบรื่นด้วย
สรุป “เสน่ห์ดี ๆ ที่เติมเต็ม แต่คู่แข่งในตลาดก็เดือดอยู่”
ถ้าตัดเรื่องจอไม่สู้แดด การทำงานหน้าปัดตอนยกข้อมือ ตอนดูนาฬิกา ที่ออกจะเพี้ยน กลับหน้าจอตอนใช้มือซ้ายไม่ได้ ที่เหลือที่เคยอยากได้ ทั้งเรื่องความหรู แน่น มีราคา การสั่นที่สุภาพ แต่ชัวร์ว่าไม่พลาดการแจ้งเตือน เครื่องที่ทำงานเร็ว หน้าจอที่ดูคม แบตเตอรี่ใช้ได้สมตัวกับความสามารถ ก็ได้แล้วในรุ่นนี้ ในขณะที่จุดเด่นเรื่องการออกกำลังกาย การวัดค่าสุขภาพ ยังใช้ได้ดี เป็นนาฬิกาจอกลมที่ใช้ออกกำลังกาย แล้วใช้งานได้ดีที่สุดเรือนนึง ที่ถือเป็นสิ่งที่ดีในสองรุ่นก่อนหน้า ก็ยังรักษาความดีไว้ในรุ่นล่าสุด ฉะนั้น ถ้าถามว่า Huawei Watch 3 ยังดีพอแบบที่รุ่นก่อนหน้าทำไว้ดีไหม ตอบได้เต็มปากเลยว่า “ใช่” ผมเองก็ยังรู้สึกว่า ใส่แทน Apple Watch ที่ใช้ประจำก็ได้ หน้าตาดีแบบ ทดแทนกันได้เลย
แต่ตลาดตอนที่ Watch GT / GT 2 ขาย มันคือตอนที่ตลาดยังตัวเลือกไม่มากขนาดนี้ การเติบโตทางหน้าตา ค่าตัว ของ Watch 3 เมื่อเทียบกับ Smartwatch ทรงกลมในตลาด ที่ถ้าไม่สายกีฬา ออกกำลังกายแบบชัด ๆ ก็จะเจอ Android Wear จากค่ายเจ้าตลาด ที่ตอนนี้ Google เป็นพ่อยกแบบจริงจัง พอเอามาเทียบกันแต่ละข้อ ไม่ว่าจะความสามารถหลัก การใช้งาน การต่อยอดด้วย App คุณภาพ Hardware มันเริ่มตอบแบบ เต็มปากเต็มคำไม่ได้ว่า Huawei Watch 3 คุ้มกว่า หรือเหนือกว่าชัดเจนตรงไหน
ในรุ่นถัดไป จำเป็นอย่างยิ่งที่ Huawei ต้องใส่อะไรบางอย่าง ที่คู่แข่งไม่มี หรือถึงมี ก็ต้องดูสมเหตุสมผลกว่าที่จะซื้อ ในวันที่เทคโนโลยีเริ่มทันกัน ใช้สงครามราคาก็ลำบาก ทำของให้หรู ครบ ดูแพง ก็เป็นต้นทุนแฝงที่ต้องบวกไปในราคาขาย ใน 1 ปีต่อจากนี้ ขอให้ตีโจทย์ยกระดับนี้ให้สำเร็จนะครับ
เพราะที่ผ่านมา Huawei ทำสำเร็จได้ดีมาตลอด ทำไมรุ่นถัดไปจะดีกว่านี้ไม่ได้ละ?