นับตั้งแต่สงคราม Android ราคากลาง ๆ เริ่มปะทุขึ้น ในตลาดก็มีแบรนด์น้อยใหญ่เปิดตัวกันอย่างมากมายเหลือล้นจนนับกันไม่ถ้วน ทำให้ในบางครั้ง ตัวผมกับทีมงานก็ชอบคิดว่า “มือถือแบรนด์ใหม่ ๆ จะมีที่ยืนในตลาดได้จริงเหรอ” เพราะเวลาเดินไปไหนมาไหนไม่ว่าจะกลางเมืองนอกเมืองต่างจังหวัดไปดูสังคมหลายๆ กลุ่มก็มักจะวนอยู่แค่ไม่กี่แบรนด์ที่พอจะขายได้อยู่ได้ แต่เวลาผ่านไปก็ทำให้ผมรู้ว่า แบรนด์ที่อยู่ได้ เค้าก็อยู่ได้จริง ๆ ส่วนแบรนด์ที่อยู่ไม่ได้ ก็จะล้มหายตายจากไป หรือไม่ก็โดนบริษัทใหญ่กลืนกิน เช่นเดียวกันครับ กับแบรนด์น้องใหม่ที่จะมาแนะนำให้ได้ชมกันในวันนี้ เดิมเค้าเป็นแบรนด์ใหญ่มาก่อน แต่วันนี้ขอแยกทางด้วยลำแข้งตัวเอง กับแบรนด์น้องใหม่ของประเทศไทยที่มีชื่อว่า “Honor”
Honor คือใคร?
แบรนด์นี้มีที่มาจากประเทศจีนครับ โดยเป็นแบรนด์ลูกของ Huawei Consumer นั่นเอง ซึ่งถ้าใครที่ติดตามข่าวสารเป็นประจำก็คงจำได้ว่าเมื่อก่อนนู้น Huawei เคยออกรุ่นย่อยในตระกูล Honor มาขายในตลาดโลกรวมถึงในไทยมาบ้างแล้ว แต่เพราะว่าแบรนด์นี้เป็นแบรนด์ที่ตั้งใจทำเพื่อเน้นตลาดกลุ่มคนรุ่นใหม่ เหตุดังกล่าวจึงเป็นที่มาของการแยกแบรนด์นี้ โดยเริ่มจากปรับวิธีการทำตลาด ด้วยการขายเครื่องแค่ผ่านช่องทางร้านค้าออนไลน์เท่านั้น ไม่ว่าจะ Alibaba / JD.com หรือ E-Commerce เจ้าดัง ๆ ในจีนก็ร่วมด้วยช่วยกันขายเหมือนกันหมด รวมถึงชูจุดเด่นให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายให้มากขึ้น ชูความสดใหม่และเข้าถึงได้เป็นหลัก และถึงแม้ว่า Honor จะเปลี่ยนมาเน้นขายแบบ Online เพียงอย่างเดียว แต่กระแสและการตอบรับก็เข้าขั้นดีมากด้วยยอดขายถล่มทลายกว่า 54.5 ล้านเครื่อง คิดเป็นรายได้กว่า 71,600 ล้านหยวน เอาชนะ Mi ที่มียอดขายเพียง 50.9 ล้านเครื่อง และคิดเป็นรายได้กว่า 58,700 ล้านหยวนไปแบบขาดลอย และที่สำคัญคือ Honor ยังมีส่วนแบ่งในตลาดจีนกว่า 14.5% เป็นรอง Apple เพียงแค่ 0.5% เท่านั้น
เพียงเท่านี้ก็คงทราบดีแล้วว่า Honor แข็งแกร่งในจีนมากขนาดไหน และความแข็งแกร่งนี้ยังช่วยให้ Honor ตัดสินใจขยายตลาดไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว ด้วยการจับมือเป็นพาร์ทเนอร์กับ Google, Monster, GoPro, และ Koche เพื่อช่วยกันกระจายแบรนด์ Honor ให้เป็นที่รู้จักไปในระดับทั่วโลกจนกระทั่งถึงคิวประเทศไทยที่ Honor ตัดสินใจร่วมวงทำตลาดในประเทศไทยที่การแข่งขันรุนแรงมากในปัจจุบัน ภายใต้กรอบแนวความคิด “มือถือที่ดีที่สุดเพื่อคนรุ่นใหม่“
เมื่อรู้จักบริษัทแล้ว มารู้จักสินค้าเปิดตลาดในไทยสองรุ่นแรกกันดีกว่าครับ
Honor 9 Lite “มือถือราคาดีเพื่อสายเซลฟี่”
แรกเริ่มที่ผมจับ ถึงขั้นต้องอุทานในใจว่า “ว้าวว! มันสวยมาก” กับการออกแบบและวัสดุที่นำมาใช้กับตัวเครื่องพอสมควร สิ่งที่สะดุดตาเลยก็คือ จอภาพที่กินพื้นที่ด้านหน้าเครื่องเกือบทั้งหมด แถมมากับกล้องหน้าแบบคู่ด้วย จอภาพมีความคมชัด และให้สีสันที่สดสวยงาม กระจกหน้าจอแบบ 2.5D ขอบกระจกมีความโค้งมนซึ่งช่วยให้ถือรับกับอุ้งมือได้ดีที่ประทับใจมากคือมือถือที่ใช้วัสดุเป็นกระจกส่วนใหญ่มักจะลื่นหลุดมือแต่กับเครื่องนี้ดูดมือได้ดีไม่หวาดเสียวจะหลุดมือขณะใช้งานในส่วนขอบเครื่องเป็นอลูมิเนียมทำสีแบบด้านนั้นเมื่อลองจับดูถือว่าทำออกมาได้ดีแต่ถ้าเกิดใช้ไปสักระยะหนึ่งก็หวังว่าสันขอบของเครื่องจะไม่มีการหลุดลอกหรือเปลี่ยนสภาพนะครับ
เมื่อได้พลิกไปดูด้านหลังเครื่อง จะพบว่าด้านหลังเป็นกระจก ซึ่งต่างจาก Honor 7x ที่ด้านหลังเป็นอลูมิเนียมทั้งหมด ด้านบนเครื่องเป็นกล้องแบบคู่ ไมโครโฟนตัวที่สอง และแฟลชช่วยถ่ายรูป ตามลำดับ (จัดวางเหมือน iPhone 7 Plus) กระจกด้านหลังของ Honor 9 Lite มีความแวววาวตามสีของตัวเครื่อง สำหรับในงานเปิดตัว ทาง Honor จัดเครื่องสีน้ำเงินกับสีดำมาให้ลอง
ซึ่งทั้งสองสีนี้สวยกันคนละแบบเพราะสีน้ำเงินผมมองว่าดูสดใสน่ารักส่วนสีดำน่าจะถูกใจผู้ชายที่เน้นความน่าเชื่อถือที่น่าสังเกตคือรอยนิ้วมือด้านหลังกระจกตัวเครื่องถือว่ามีน้อยมากๆทั้งที่เครื่องถูกวางโชว์ให้สื่อฯและแขกในงานลองจับซึ่งถ้าเป็นเครื่องรุ่นอื่นที่ใช้วัสดุเงาหรือกระจกคราบรอยนิ้วมือต้องเต็มเครื่องไปแล้วถือว่าสารเคลือบกันรอยนิ้วมือของ Honor 9 Lite ทำได้ดีในจุดนี้ สอบผ่าน!
แล้วมันเร็วไหม? ลื่นไหม? ในสัมผัสแรกที่ลองอยู่สองสามนาที ผมรู้สึกว่า “เห้ย มันลื่นใช้ได้นะเนี่ย” ด้วยความที่มันเป็น Android 8.0 ที่ถูกปรับแต่งโดย EMUI 8.0 เวอร์ชันล่าสุดตัวเดียวกับของ Huawei Mate 10 แถมด้วยตัวเครื่องใช้ CPU ของ Kirin 659 ให้ RAM มาถึง 3GB !! ซึ่งควรลื่นไหลในแบบที่มันควรจะเป็น ไม่น่ามีปัญหาในใช้งานทั่ว ๆ ไป ยิ่งถ้าเคยใช้มือถือของ Huawei / OPPO / Vivo มาก่อนอยู่แล้วแทบไม่มีปัญหาในการปรับตัวใช้งานแน่นอน
โดยรวมแล้ว Honor 9 Lite ถือว่าหน้าตาดูดีงานประกอบการเลือกสีที่ใช้กับตัวเครื่องรวมถึงการตอบสนองเบื้องต้นในตัวเครื่องถือว่าดูน่าไว้ใจได้ทีเดียวครับ
Honor 7X “มือถือทรงพลังเพื่อชาวเกมเมอร์”
สลับมาที่ Honor 7X กันบ้าง ตัวเครื่องใช้บอดี้ที่เป็นอลูมิเนียมทั้งหมด ไม่เหมือนกับรุ่น Honor 9 Lite ที่ด้านหลังเป็นกระจก ด้านหลังตัวเครื่องมีเส้นเสาอากาศ ด้านบนซ้ายสุดจะเป็นตำแหน่งแฟลช ตามมาด้วยกล้องสองตัว ซึ่งแตกต่างจากตัว Honor 9 Lite วัสดุอลูมิเนียมของเครื่อง ทำสีเครื่องกับให้ผิวสัมผัสที่ดี เกาะมือ ไม่ลื่นหลุดมือง่าย ๆ เผลอ ๆ จะจับได้มั่นคงกว่า Honor 9 Lite ด้วยซ้ำ ส่วนหน้าจอนั้น ทำมาดีแบบเท่ากับ Honor 9 Lite จอภาพเกือบเต็มพื้นที่ด้านหน้าเครื่องตามสมัยนิยม ใช้กระจกโค้งแบบ 2.5D ที่จับถนัดมือเหมือนกับ Honor 9 Lite แต่ใน 7X จะได้กล้องหน้าเป็นแบบกล้องเดียวเท่านั้น
ในส่วน CPU ของเครื่อง ก็ยังใช้ Kirin 659 แต่สิ่งที่ทำให้ Hornor 7X แตกต่างกับ 9 Lite ก็คือ ตัวเครื่องให้ RAM 4GB (9 Lite ให้ RAM 3GB) ซึ่งทาง Honor ชูเป็นจุดขายว่า นำไปเล่นเกมได้ดีไม่แพ้เครื่องรุ่นใหญ่ รวมถึงการใช้งาน App หนัก ๆ ที่ดีกว่า และแน่นอนว่า ตัวเครื่องใช้ Android 7.0 ที่ปรับแต่งโดย EMUI 5.1 แบบเดียวกับ 9 Lite ฉะนั้นแล้ว เรื่องความลื่นไหลกับความเสถียร จึงไม่น่าแตกต่างกับ 9 Lite เช่นกัน
โดยรวมของสเปคที่ Honor ทำมาให้ 7X นั้น เน้นกลุ่มคนที่ชอบเล่นเกมเป็นหลัก ซึ่งโดยตำแหน่งทางการตลาดเอง ก็วางไว้สูงกว่า 9 Lite เช่นกัน
สรุป
มองดูเผิน ๆ ทั้งสองรุ่นนี้ ไม่ได้ต่างอะไรกันมาก แต่เมื่อลองจับดูคร่าว ๆ ผมว่าสองรุ่นนี้มีบุคลิกที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน โดย Honor 9 Lite จะเน้นการถ่ายรูปเซลฟี่ มาพร้อมกับกล้องหน้าสองตัว (13MP+2MP) การเลือกใช้สีและวัสดุที่ดูแฟชั่นกว่า มองรวม ๆ แล้ว น่าจะถูกใจคุณสุภาพสตรีผู้รักการถ่ายรูปแน่นอน ส่วน Honor 7X ได้สเปคที่แรงกว่าเน้นการเล่นเกมส์เป็นหลักหน้าตากับสีสันของเครื่องเอาใจคุณสุภาพบุรุษหรือคนที่ชอบมือถือที่ดูเรียบร้อยหน่อย
ด้วยส่วนต่างของสองรุ่นนี้ที่ 1,000 บาท ไม่ว่าจะเลือกรุ่นไหน สเปคบนหน้ากระดาษ ก็สามารถตอบโจทย์ตามการใช้งานได้ดีตามที่ควรจะเป็น เอาเป็นว่า ชอบถ่ายรูป เน้นเครื่องสวย ไปที่ Honor 9 Lite เน้นแรงไปที่ Hornor 7X ได้เลยครับ
สำหรับราคาและการวางจำหน่าย เนื่องจากว่า Honor ต้องการเน้นทำตลาดออนไลน์เหมือนกับประเทศจีนบ้านเกิด จึงมีแผนการวางจำหน่ายออกเป็นทั้งหมดสองส่วน กล่าวคือ Honor 9 Lite จะวางจำหน่ายที่ราคา 6,490 บาท ขายผ่าน Shopee ช่องทางเดียวเท่านั้น ส่วน Honor 7x รุ่นสูงหน่อยจะวางจำหน่ายที่ราคา 7,490 บาท และขายจาก Lazada เพียงแห่งเดียวเช่นกัน ซึ่งทั้งคู่จะเริ่มวางจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 2 เมษายนเป็นต้นไป