สองปีที่แล้วในช่วงเวลาเมษายนที่ผมกำลังเขียนเรื่องนี้อยู่ ผมยังคิดเรื่อง GadGuan เป็นแค่ฝันที่ไม่น่าเป็นไปได้ แต่ฝันของมือถือแบรนด์หนึ่ง ที่อยากขึ้นมาเป็นตัวเลือกสำคัญในตลาด ดูจะทำสำเร็จจนได้ ผมกำลังหมายถึง Huawei P9/P9 Plus ที่เป็นการแจ้งเกิด Huawei ในระดับมหาชนอย่างเป็นทางการ รวมถึงสร้างฐานตลาดระดับบนของ Huawei
แต่สัจธรรมของผลิตภัณฑ์ที่ประสบความสำเร็จ รุ่นต่อไปมักจะยากที่จะรักษา หรือทำได้แค่ประคองไว้ ซึ่งข้อนี้ Huawei P10/P10 Plus ก็หนีไม่พ้นข้อนี้ด้วย แต่ที่อาจจะไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ หรือข่าวเรื่องชิ้นส่วนบอร์ดสำคัญ ๆ ที่ทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่า มันแตกต่างกัน ประจวบกับเพื่อนร่วมตลาดออกรุ่นใหม่ที่ หน้าตาดีถูกใจตลาดมาพอดี ก็ส่งให้ P10/P10 Plus เหนื่อยเป็นพิเศษในปีที่ผ่านมา
สิ่งที่ผมคิดไว้ก่อนที่ Huawei จะส่งรุ่นสานต่อจาก P10/P10 Plus ก็คือ ถ้าจะเน้นกล้องเหมือนเดิม ก็ต้องสุดโต่งแบบให้กลายเป็น “กล้องโทรได้” หลุดจากสามัญสำนึกของกล้องถ่ายรูปจากโทรศัพท์มือถือไปเลย หรือไม่อย่างนั้น ก็ไปเน้นองค์ประกอบอื่นให้ดีขึ้นแบบชัดเจนไปเลย
และ P20 / P20 Pro ก็เกิดขึ้น สิ่งแรกที่ผมไม่ทำเลยคือ “ไม่ดูงานเปิดตัว” เพราะผมไม่อยู่บ้านในเวลานั้น ในใจคิดแค่ “อยากจับเองเลยดีกว่า” และก็ต้องขอขขอบพระคุณในความกรุณาที่ทาง Huawei มอบให้ใน 2 ชั่วโมงที่เครื่องอยู่ในมือให้ลองกันนะครับ สิ่งที่ผมรู้สึกคือ “มันน้อยนิด แต่ก็อยากรู้จักกันให้มากขึ้น”
คุณผู้อ่าน อาจได้อ่านเรื่องของมันจากหลายที่ หลายเว็บแล้ว ผมเองก็อยากบอกบ้างว่า 2 ชั่วโมงที่ผม น้องต้น น้องไนน์ ได้สัมผัส มันเป็นอย่างนี้….
ความแพงคือสิ่งแรกที่มองเห็น
งานออกแบบของ P20/P20 Pro ถ้าว่ากันด้วยทรงล้วน ๆ จะคล้ายเป็นการนำ P10/P10 Plus มาเหลาแบบขนาดใหญ่ แต่ที่ทำให้แตกต่างแบบชัดเจน คือการจัดวางรายละเอียดต่าง ๆ ที่ไม่ใช้งานออกแบบของ P9/P10 มาอิงเลยสักนิดความเปลี่ยนแปลงทั้งการจัดวางจตำแหน่งกล้องการขยายหน้าจอให้เต็มด้านหน้ามากที่สุดไปจนถึงการยกตัวอ่านลายนิ้วมือมาไว้ด้านหน้าเครื่องแทน
งานประกอบเครื่องโดยรวม ดูแน่นหนาดี ช่องไฟต่าง ๆ การกระจายน้ำหนักเมื่อจับถือ ในขณะที่การออกแบบสันโค้งรับกับกระจกจอแบบ 2.5D ก็ ทำได้ถนัดมือมาก ถึงจอจะใหญ่ระดับ 6.1 นิ้ว แต่การวาดนิ้วโป้งในท่าถือมือเดียว ซึ่งส่วนตัวผมแล้ว การถือมือถือใช้งานมือเดียวได้ถนัด เป็นเรื่องที่สำคัญกับผมมาก และ P20 Pro ก็ทำได้ดีในการใช้นิ้วโป้งนิ้วเดียวในการแตะ ไม่ว่าจะการพิมพ์ การสัมผัสในอริยาบถต่าง ๆ จุดนี้เป็นสิ่งที่รู้สึกดี เพราะ P10/P10 Plus ก็ให้การจับถือมือเดียวได้ดีและดีใจที่ในรุ่นนี้ยังรักษาไว้ได้แถมจอที่ใหญ่ขึ้นไปด้วย
การออกแบบหน้าจอเต็มกรอบ โดยที่เหลือส่วนที่ยื่นเป็นกล้องด้านหน้า เซ็นเซอร์ที่ต้องใช้ และลำโพงสนทนา โดยส่วนตัวแล้ว ไม่ได้แย่ แต่ก็ไม่ได้สวยถูกใจผมนัก ซึ่งทาง Huawei ได้มีการตั้งค่าให้จอด้านบนสุดเป็นแถบสีดำกลืนกับส่วนที่ยื่น ซึ่งแถบสีดำที่ทำมา ดำโทนที่พอดีกับจอ ใช้งานได้จริง และถ้าผมใช้งานเอง ผมใช้แถบดำนี้แน่นอนครับ^^” แต่สิ่งที่ต้องชมในสัมผัสแรกคือ การทำสีหน้าจอ OLED ของ P20 Pro ทำออกมาได้สวยในแบบ OLED แต่แสงสีไม่แรงจนทิ่มตา
โดยนรวมของสัมผัสตัวเครื่องในสองชั่วโมงที่ จับบ้าง เล่นบ้าง ฟังเค้าพรีเซ็นต์บ้าง ผมว่าสอบผ่านแน่นอน P20 Pro เครื่องนี้ ไม่มีความจีน หรือความอะไรที่สื่อว่า “ของจีน” มีแต่ความสวย ความแพง และฉีกภาพของ P9/P10 ที่มีเส้นสายบางมุมจีน ๆ สีที่ใช้ก็จีน ๆ ไปเรียบร้อย แถมถือแล้ว มองระยะสายตา ไม่ว่าใกล้หรือไกล ก็ทำให้คนรู้ได้ว่า “นี่คือ Huawei” ซึ่งเป็นเรื่องดีมาก และอยากให้พัฒนา DNA งานออกแบบให้ดียิ่งขึ้นไปให้ได้นะครับ
กล้อง 3 ตัวที่ทรงพลังของ P20 Pro (by Nyeworapat)
เป็นครั้งแรกที่ Huawei ใส่กล้องหลังมากถึงสามตัวบนสมาร์ทโฟนของตัวเอง ในตระกูล P Series เพื่อยกระดับให้เป็นสมาร์ทโฟนที่ถ่ายรูปได้ดีที่สุดกล้องสามตัวนี้ประกอบไปด้วย
- เลนส์ไวด์ตัวหลัก ให้ความละเอียดมากถึง 40 ล้านพิกเซล ค่ารูรับแสงกว้าง f/1.8
- เลนส์ Monochrome เป็นเลนส์เอาไว้ถ่ายภาพขาวดำความละเอียด 20 ล้านพิกเซล ค่ารูรับแสงกว้างถึง f/1.6 ซึ่งได้รับการปรับแต่งจาก Leica เช่นเดิม ที่คงเอกลักษณ์มาตั้งแต่ P9 Series และ P10 Series
- เลนส์เทเล เป็นเลนส์ตัวที่สามที่เพิ่มมาใหม่ มีความละเอียด 8 ล้านพิกเซล ใช้สำหรับการซูมวัตถุ ค่ารูรับแสงกว้าง f/2.4
จากที่ลองเล่นคร่าวๆ P20 Pro มาพร้อมกับโหมดดังนี้ (เวลามีน้อย ลองได้ไม่ครบทุกโหมด)
- Portrait ภาพมีความคม ละลายหลังได้ดี สามารถปรับค่า f ภายหลังจากการถ่ายรูปได้ด้วย ซึ่งเป็นจุดที่ดีมากๆ
- Photo (ออโต้) ในความรู้สึกส่วนตัว คิดว่าทำได้ดี มีความง่ายอยู่ในตัว ให้แสงและสีที่สวยงาม ใช้ได้ดีเยี่ยม และซูมได้แบบ Optical 3X โดยไม่เสียรายละเอียด นอกจากนั้นบังสามารถซูมได้อีก 5X แบบ Hybrid Zoom ผลที่ได้คือภาพมีความคม เพราะด้วยกล้องหลัก 40 ล้านพิกเซลและกล้องเทเล 8 ล้านพิกเซลที่เอามารวมกันทำให้ภาพที่ซูมเข้าไปไม่เสียรายละเอียดใดๆ
- Pro สามารถปรับได้หลากหลายตามสไตล์โหมด Pro ดังเช่นในโทรศัพท์มือถือหลายๆแบรนด์ รอบนี้ Huawei ให้ ISO มากถึง 102400 ทำให้สามารถปรับภาพให้สว่างได้มากยิ่งขึ้นในที่สภาวะแสงน้อย ถือเป็นเรื่องราวดีๆของสมาร์ทโฟน Huawei
- Night Mode ทำได้ดีมากๆ เวลาถ่ายต้องใช้เวลาในการประมวลสักระยะหนึ่ง(ประมาณ 3-4 วินาที) ซึ่งเมื่อประมวลผลเสร็จ จากสถานที่จริงที่มีสภาวะมืดเมื่อมองจากหน้าจอมือถือ กลับกลายเป็นว่ามีความสว่างแบบธรรมชาติ เหมือนมองด้วยตาเปล่า ซึ่งตรงจุดนี้ทำได้ดีมากๆ
- Monochrome ความรู้สึกส่วนตัว จากที่เคยใช้ P10 Plus คิดว่าเก็บสีได้ดีขึ้นมากกว่ารุ่นก่อน โทนสีขาว–ดำมีความเข้มกว่า เห็นรายละเอียดได้ชัดเจนขึ้น ครั้งนี้ Huawei ปรับแต่ง Software ร่วมกับ Leica เช่นเคย พัฒนาโหมดขาว–ดำให้ดีมากยิ่งขึ้น รูปที่ออกมามีความเป็น Leica ไม่เหมือนกับการแต่งรูปด้วยฟิลเตอร์จากแอพทั่วๆไป นี่จึงเป็นข้อดีของการร่วมมือระหว่าง Huawei กับ Leica
ตัวอย่างรูปจากกล้อง Huawei P20 Pro (มีแต่รูปกลางคืน กับพี่ zipboy เยอะหน่อยนะครับ เพราะได้ถ่ายตอนเวลานี้จริง ๆ ครับ)
โดยรวมแล้ว ผมคิดว่า Huawei ทำตามโจทย์ที่อยากพัฒนาให้กล้องของ P20/P20 Pro เป็นกล้องที่เทพสุดของกล้องใน Smartphone แต่ต้องทำให้คนที่ถ่ายรูปไม่เป็น สามารถถ่ายได้ ซึ่งทั้งผม พี่เต๋า พี่ต้น ต่างก็ลงความเห็นในเบื้องต้นว่า “ดูเป็นมิตรกว่ายุค P9/P10 อย่างสัมผัสได้”
สรุป “ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด น่าจะปังกว่า P9 แน่นอน”
ตั้งแต่ P9/P9 Plus ออกวางขาย จนถึงทุกวันนี้ ประชากร Huawei ก็เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ สามารถแทรกตัวท่ามกลางสังคมที่เราหันไป แบรนด์เกาหลีกับอเมริกาครองตลาดกันเป็นหลัก การสร้างจุดขายสำคัญที่ “ลอกเลียนแบบยาก” หรือ “ทำได้ดีไม่แพ้กัน” จึงเป็นใบเบิกทางแบบเรียนลัดที่ Huawei เลือกใช้เพื่อสร้างความมั่นคงให้ตัวเองก่อน
สัมผัสแรกของ P20 Pro ที่เอามาเล่ากันนี้ถ้าจะให้สรุปกันก็คงไม่ต่างกับการได้รู้จักเพื่อนสักคนมากขึ้นมากกว่าแค่รู้จักชื่อรู้ว่าทำมาหากินอะไรเก่งอะไรทักทายกันบ้างตามโอกาสแต่การได้นั่งคุยด้วยแบบใกล้ชิดมีประเด็นให้ทำความรู้จักถึงจะไม่ได้ลึกซึ้งอะไรแต่ก็ถือว่าโอเคละเป็นคนที่ดูน่าคบหาอยู่ประมาณหนึ่งเลยแหละ
ฉะนั้นแล้ว ถ้า Huawei ไม่ทำอะไรผิดพลาดกับ P20 ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม เครื่องรุ่นนี้มีหลายอย่างที่โดนจริตคนหมู่มากแบบเต็ม ๆ เรื่องทำการตลาด ทีมงานน่าจะรู้ทางดีอยู่แล้วว่าต้องเล่นอย่างไร และเมื่อดูเทียบกับบรรดา Android Smartphone รุ่นหัวหอกแล้ว P20/P20 Plus มีดีพอที่จะเกาะที่ 1 ที่ 2 ทั้งในใจของผู้บริโภค พื้นที่สื่อฯ ไปอย่างน้อย 6-12 เดือนจากนี้ได้ไม่ยากเลยทีเดียว
เสียดายที่เวลาได้ทำความรู้จักกัน มันน้อยไปนิด เอาเป็นว่า ผมจะรอเวลาที่เพื่อนคนนี้ว่าง อยากชวนไปเที่ยวด้วยกันสักอาทิตย์ หรือนานกว่านั้น แล้วถ้ามันใช่ ผมคิดว่าการพัฒนาความสัมพันธ์ให้ลึกซึ้งกว่านั้น น่าจะเป็นเรื่องที่เป็นไปได้แน่นอน