ลองแล้วเล่า

โดนแล้วเล่า : Samsung LED Cinema @ Paragon Cineplex “โรงหนังที่คมชัดที่สุดในกาแล็คซี่”

วันนี้ครับ แกดกวนลองแล้วเล่าของเรามาแปลกนิดนึง เพราะมันไม่ใช่การไปลองเล่นหรือสัมผัสอะไรมา แต่ต้องเรียกว่าไปดูหนังมาครับ และเมื่อดูเสร็จ เพื่อความหมั่นไส้ตามธรรมเนียมก็ต้องมาสปอยให้ได้อ่านกัน แต่ๆๆๆๆ ผมจะไม่สปอย Avengers: Infinity War ให้โดนด่าฟรีนะ เพราะสิ่งที่จะสปอยหนักๆ ให้ได้ฟังกันในครั้งนี้คือ Samsung LED Cinema เทคโนโลยี LED Cinema Screen สำหรับโรงภาพยนตร์นั่นเองงง วันนี้มาถึงประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้วที่ Paragon Cineplex ซึ่งโรงภาพยนตร์นี้จะแตกต่างจากโรงภาพยนตร์ปกติที่เรารับชมยังไงนั้น มาสปอยกันต่อเลยดีกว่าจ้า

 

ย้อนความกว่า 120 ปีของเทคโนโลยีการฉายภาพยนตร์

ตัวอย่างระบบการฉายภาพยนตร์ในระบบ Xpand 3D

สำหรับใครที่เป็นคอหนังตัวยง ผมเชื่อว่าคงจะคุ้นเคยกับเทคโนโลยีการฉายหนังกันเป็นอย่างดี เพราะองค์ประกอบของโรงหนังเดิม ๆ ที่คุ้นเคยกันนั้นมีอายุอานามก็รุ่นทวดกันเลยทีเดียว เพราะเทคโนโลยีภาพยนตร์มีมากว่า 120 ปีกันแล้ว ยุคแรกๆ ของโรงภาพยนตร์ ก็ประกอบไปด้วยองค์ประกอบสามถึงสี่อย่าง คือ เครื่องฉาย จอผ้าใบขนาดใหญ่ ลำโพง และไมค์โครโฟน เทคโนโลยีแต่เดิมการบันทึกเสียงจะใช้เทปเปิดไปพร้อมกับการฉายฟิล์ม และคนพากย์ก็จะพากย์สดๆ ผ่านไมค์ที่เตรียมไว้ ยุคถัดมาก็มีการปรับให้การพากย์เสียงไปบันทึกไว้ในเทปแทนการพากย์สด จนกระทั่งมาถึงยุคดิจิทัลในปัจจุบันที่ทั้งภาพและเสียงถูกเก็บไว้เป็นไฟล์ดิจิทัล แต่การฉายก็ยังคงฉายลงจอผ้าใบตามปกติ และเป็นเช่นนี้มาจนถึงทุกวันนี้

 

ก้าวสู่ยุคใหม่ ทำลายทุกข้อจำกัด กับ “จอภาพยนตร์ที่เปล่งแสงเองได้”

เทคโนโลยีการฉายได้รับการปรับปรุงมาอย่างต่อเนื่องจนถึงเมื่อปลายปีที่แล้ว Samsung ก็ขอทำลายข้อจำกัดใหญ่ของการฉายภาพยนตร์ ด้วยการเปิดตัวโซลูชัน LED Cinema Screen สำหรับโรงภาพยนตร์เป็นครั้งแรกที่เกาหลีใต้ (ที่อเมริกาจะเรียกว่า Samsung Onyx) เรียกว่าเมื่อเปิดตัวปั๊บ ทุกเสียงการตอบรับเทมาหา Samsung กันแทบทั้งสิ้น เพราะนี่คือการทำลายขีดจำกัดครั้งใหญ่ในรอบ 120 ปีของการฉายภาพยนตร์ในโรงภาพยนตร์นั่นเอง

สิ่งที่ Samsung ทำ ก็คือทำลายข้อจำกัดของอุปกรณ์สองอย่างให้กลายเป็นชิ้นเดียว นั่นคือจอผืนผ้าใบ กับ โปรเจคเตอร์ฉายภาพยนตร์ โดย Samsung ยัดเอาของสองสิ่งนี้เข้าไปอยู่ในสิ่ง ๆ เดียว คือเจ้า LED Cinema Screen นั่นเอง ผิวเผินมันคือจอ Micro LED ที่เราเห็นได้บ่อยตามพวกป้ายบิลบอร์ดไม่ก็ในสถานี BTS นั่นแหละครับ Samsung ได้นำเอาจอประเภทนี้มาพัฒนาเพิ่มเติมให้กลายเป็นโรงภาพยนตร์ที่สามารถฉายภาพยนตร์ได้จริงนั่นเอง

 

แล้วของจริงเป็นอย่างไรล่ะ?

ทีนี้มาถึงคำถามสำคัญว่าแล้วโรงภาพยนตร์ของจริงที่ Paragon Cineplex นั้นเป็นอย่างไรบ้าง วันแรกที่ Major Cineplex แถลงข่าวว่าจะซื้อมาติดตั้งและแจ้งว่าใช้โรง 6 Paragon CIneplex ซึ่งเป็นโรงฉายระบบเสียง Dolby Atmos เดิม ผมก็ได้แต่จินตนาการว่า เออ.. เสียงก็คงเหมือนกับ Dolby Atmos แหละ ไม่น่าจะแตกต่างอะไรมาก แต่เมื่อมาถึงสถานที่จริง สิ่งที่เปลี่ยนไปคือระบบเครื่องเสียงของโรงนี้เปลี่ยนไปจากเดิมเยอะมากครับ อย่างแรกคือระบบเสียงจาก Center โรงภาพยนตร์ทั่วๆ ไปที่เราคุ้นเคยกัน ลำโพง Center จะถูกวางไว้ด้านหลังผ้าใบที่เป็นตัวฉาย แต่เมื่อผ้าใบโดนเปลี่ยนมาเป็นจอ LED แน่นอนครับว่า เสียงมันออกจากตรงตำแหน่งเดิมไม่ได้แน่นอน สิ่งที่ Harman/Kardon แก้ไขให้โรงนี้ คือย้ายโซนเสียงที่เป็น Center ทั้งหมดไปรวมกับ Overhead ด้านบน และควบเป็นเสียงโซนเดียวกัน ดังนั้นระบบเสียงการันตีเลยครับว่า ดีไม่แพ้ Dolby Atmos เลยทีเดียว

เพลงสรรเสริญพระบารมีที่ฉายผ่านจอ Samsung LED Cinema ให้ความสวยที่สมจริงกว่าการฉายโปรเจคเตอร์ลงบนผ้าใบ

ด้านภาพที่เป็นไฮไลต์ ต้องเรียกว่าไฮไลต์ของจริงครับ เพราะนี่คือจอ 4K ความละเอียด 3640*2160 พิกเซล ตัวจอเป็นเทคโนโลยี Micro LED เต็มพื้นที่ สามารถเปล่งแสงได้สูงถึง 500nit หรือสูงกว่าโรงภาพยนตร์ทั่วไปเกือบ ๆ 50 เท่า ทำให้เปิดไฟระหว่างการฉายภาพยนตร์ได้ แถมยังพ่วงมาด้วยค่า Contrast ที่สูงถึง Infinity:1 เรียกได้ว่าสีดำคือดำจริง และขาวก็ขาวจริง แถมท้ายหน้าจอนี้ยังสามารถแสดงผลสีได้ถึงหลายร้อยล้านสี และยังรองรับการฉายภาพยนตร์ในระบบ High Dynamic Range (HDR) อีกด้วย เรียกว่าภาพยนตร์ที่ทำมาเพื่อรองรับการฉาย HDR ก็สามารถเข้าฉายที่โรงนี้ได้ในทันที

ภาพนี้ถ่ายขณะที่โรงภาพยนตร์เปิดไฟทั้งหมด สังเกตได้ว่าสีดำที่ได้คือดำสนิท และสีสันมาครบชัดเจน

ฟังจากสรรพคุณคร่าว ๆ แล้ว ก็อาจจะยังมองภาพไม่ค่อยเห็น ผมพูดงี้เลยละกัน ทันทีที่เพลงสรรเสริญพระบารมีของ Major Cineplex ขึ้น ผมนี่อ้าปากค้างเลยทีเดียว เพราะภาพมันสวยมาก สดมาก และมีความเคลื่อนไหวที่สมจริง และที่ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเข้าฉากแรกของ Avengers: Infinity War ผมนี่ถามคำถามกลับใส่ตัวเองเลยว่า นี่ผมกำลังดูภาพยนตร์เรื่องนี้ “จาก MacBook Pro (2016) อยู่ใช่มั้ย!?” เพราะภาพที่ผมเห็นตรงหน้า เหมือนกับที่ผมดูตัวอย่างใน YouTube เป๊ะๆ ไร้ซึ่งความหม่นของภาพ ได้ภาพที่สดใส สมจริง เพียงแค่ไม่กี่ฉากเท่านั้น ผมก็ตกหลุมรักโรงนี้เหนือ IMAX ที่ผมชอบดูเป็นประจำไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ผมกล้าพูดตรงนี้เลยว่าโรง Samsung LED Cinema เนี่ย เป็นอะไรที่สมบูรณ์และลงตัวมากกกกกกก มากจนแทบอยากกลับไปดูซ้ำทุกอาทิตย์ เพราะนอกจากสีที่คมชัดสมจริงแล้ว ฉากอื่นๆ ที่ผมได้เห็นในภาพยนตร์ Avengers: Infinity War เรียกว่ามีความสมบูรณ์แบบแทบทั้งหมด ฉากที่มีแสงน้อยเจ้า LED Cinema ก็ให้แสงน้อยที่สมจริง ซึ่งถ้าเป็นโรงปกติ อย่างน้อยๆ เราก็จะต้องเห็นภาพลอยๆ ขึ้นมาจากผืนผ้าใบที่เป็นสีขาวหรือไม่ก็สีเงิน และฉากที่มีความเคลื่อนไหวเยอะๆ LED Cinema ก็เอาอยู่ เก็บทุกอย่างได้อยู่หมัด รายละเอียดนี่มาครบ ภาพคมกริบ คมจนไม่รู้จะเอาโรงไหนมาเทียบอีกแล้วถ้าไม่ใช่โรงภาพยนตร์ในระดับเดียวกัน

 

แล้วโรงนี้นั่งตรงไหนจะเหมาะสมสุด?

จุดที่ถ่ายภาพนี้คือที่นั่ง B10 จะเห็นได้ว่าตำแหน่งและมุมมองของจอจะอยู่ตรงกลางพอดี

สำหรับโรงนี้ตำแหน่งที่เหมาะสมที่สุด ผมยกให้โซนกลางค่อนบนเท่านั้น หรือก็คือแถว VIP ถึงแถว E และที่นั่งควรเป็นที่นั่งเบอร์ 8 – 16  ของแต่ละแถวเท่านั้น ถ้าถามต่อว่าทำไม คำตอบคือข้อจำกัดของ Micro LED หรือจอ LED ทั่วๆ ไป จะมีสิ่งที่เรียกว่า “มุมอับ” ซึ่งมุมนั้นจะทำให้ภาพและสีเพี้ยนไปจากความเป็นจริง และเช่นกันกับโรง Samsung LED Cinema แห่งนี้ ก็ยังมีมุมอับเมื่ออยู่ซ้ายสุดหรือขวาสุดของโรง ที่จะทำให้เราเห็นภาพได้ไม่เต็มอรรถรสนั่นเอง

ถ้าที่นั่งที่ผมแนะนำไปนั้นไม่สามารถหาได้จริง ๆ ก็ยังอนุโลมให้ได้อีกประมาณ 2-3 ที่ถัดจากนี้ก็น่าจะพอไหวอยู่ แต่ถ้าไม่ไหวจริง ๆ โซนหน้า ๆ โรงก็พอรับได้แต่ก็ต้องแหงนคอกันเหนื่อยหน่อยละครับ

 

แล้วราคาล่ะ??

แพงกว่าปกตินิดหน่อยครับบบบ เพราะว่าโรง Samsung LED Cinema แห่งนี้ ตีราคาเริ่มต้นวันจันทร์-อังคารที่ 250 บาท วันพุธ 170 บาท วันพฤหัสบดี-วันอาทิตย์ และวันหยุดเริ่มต้นที่ 280 บาท ส่วนที่นั่ง VIP แถวบนสุดราคาเริ่มต้นที่ 1,000 ต่อคู่ แพงกว่าโรงปกติเพียงแค่ 10 บาทเท่านั้น แลกกับจอภาพยนตร์แบบ LED และเก้าอี้หนังล้วน ผมเชื่อว่าหลายคนยอมเสียเพิ่มเพื่อสัมผัสระบบนี้แน่นอน

 

สรุป “นี่คือโรงที่คมชัดที่สุดในกาแล็คซี่ของจริง”

วินาทีแรกที่ผมได้ยินข่าว Samsung LED Cinema ผมก็คิดมาตลอดว่ามันเวอร์ไปหรือไม่ และถึงเวลาที่เหมาะสมแล้วหรือเปล่าที่เราจะหันมาใช้จอ LED ทำโรงภาพยนตร์กัน แต่เมื่อได้สัมผัสของจริง ผมนี่แทบซูฮก Samsung เลยทีเดียว เพราะตัวจอมันดีมาก ให้ภาพที่สวยมาก เรียกได้ว่าผมตกหลุมรักระบบนี้ไปเต็ม ๆ ดูหนังครั้งหน้า ถ้าไม่ได้ดู IMAX โรงนี้คงเป็นตัวเลือกที่สองของผมอย่างแน่นอน

เพราะฉะนั้นครับ Major Cineplex คร้าบบบบบบบ ขอร้องละนะ ระบบดีๆ แบบนี้ อยากให้ขยายสาขาเพิ่มอีก อย่างน้อยเน้นสาขา High-Grade อย่าง Emquartier, Esplanade, Iconsiam ก็ได้ครับ นะๆๆๆๆ

ใครที่สนใจก็ดู Line-up ของภาพยนตร์ที่จะเข้าระบบนี้จากภาพด้านบนก่อนก็ได้ครับ เพราะนอกจาก Avengers: Infinity War แล้ว ยังมี Deadpool 2, Solo, Jurassic World 2, Incredibles 2, Ant-man and the WASP, Skyscraper, Mission: Impossible 6 – Fallout และหนังระดับ Masterpiece ที่จ่อเข้าฉายในระบบนี้อีกเพียบ รับประกันได้ว่าคุณได้ไม่พลาดภาพยนตร์ดีๆ จากโรงภาพยนตร์แห่งนี้แน่นอน ว่าแล้วก็ตีตั๋วไปเจอกันได้ที่ Paragon Cineplex ครับผม

คณะแกดกวน #teamgadguan

อริญชย์ ชวะโนทัย (iBehemortHz)

เด็ก ป.โท ผู้สนใจในโลกดิจิทัลและสังคม และคอยเฝ้ามองการเปลี่ยนแปลงผ่านสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ที่ชื่อว่า "หน้าจอ" :)