ทุกครั้งที่ Smartphone รุ่นใหม่ที่มีประวัติต่อเนื่อง เปิดตัวรุ่นทายาทออกมา สิ่งที่ผมรู้สึกอันดับแรกเสมอคือ “เวลาผ่านไปอีกปี” มันเป็นสิ่งที่ย้ำเตือนให้ช่วงหลัง ๆ ผมตระหนักถึงคำว่า “อย่าปล่อยเวลาให้ผ่านเลยไป โดยไม่ทำอะไรเลย” ซึ่งผมเชื่อว่าคุณผู้อ่านทุกท่าน น่าจะเข้าใจกันนะครับ
เอาละ เข้าเรื่องกันเลยดีกว่า 7 ปีที่แล้ว Smartphone รุ่นใหม่จาก Samsung ทีชื่อว่า Galaxy Note ถือกำเนิดขึ้น พร้อมเครื่องหมายคำถามถึงความไม่สมเหตุสมผล ไม่ว่าจะเรื่องสัดส่วนของจอ ซึ่งในตอนนั้นถือว่าประหลาด ปากกาจิ้มจอ อันนี้ยิ่งไปกันใหญ่ ในวันที่จอสัมผัสแบบ Multitouch เปลี่ยนวิถีชีวิตของเราไปแล้ว แถม Galaxy S เอง ก็กำลังเริ่มไปได้สวยอยู่ ทำมาแบบนี้ไม่ขัดขากันเอง?
แลัวพอขายจริง เครื่องหิ้วของรุ่นแรกขายถล่มชนิดเป็นขุมทรัพย์ของร้านตู้ใน MBK ตีคู่กับ iPhone ในเวลานั้นมาตลอด และนับจากนั้นมา Galaxy Note ก็สถาปนาเป็นหัวหอกสำคัญในตลาด Hi-End มาถึงทุกวันนี้ ถึงจะพบจุดวิกฤติกับ Note 7 แต่ Samsung ก็สามารถผ่านไปได้ด้วยดี กลับมาอย่างดีขึ้นกับ Note 8 ซึ่งทำหน้าที่ของมันได้อย่างดี จนถึงวันที่ต้องส่งไม้ต่อให้รุ่นน้องรับไปสานต่อเรียบร้อย
ให้ว่ากันตรง ๆ Galaxy Note 9 ไม่ได้กระแสหรือดังเป็นพิเศษแน่นอน แต่หลายเหตุการ์ณในประวัติศาสตร์ ก็พิสูจน์มาแล้วว่า มือถือรุ่นดูกระแสเงียบ แต่ขายได้รัว ๆ ก็มีหลายรุ่น มือถือกระแสดัง แต่ขายจริงไม่ค่อยได้ ก็มีมาหลายรุ่น แล้ว Galaxy Note 9 ที่สเปคไม่มีอะไรหวือหวาจาก Note 8 เป็นพิเศษนั้น ในสัมผัสแรกที่ผมได้ลอง ผมจะเล่าให้ฟังว่า…
หน้าตาไม่ต่าง แต่รู้สึกต่างไป
ถ้า Galaxy Note 8 ทำออกมาได้สวยถูกใจคนส่วนใหญ่แล้ว การให้ Samsung เปลี่ยนหน้าตาของ Galaxy Note 9 แบบถอดด้ามไปเลย คงเป็นความเสี่ยงที่มากไป ฉะนั้น หน้าตาที่ไม่ได้เปลี่ยนไปมากของ Galaxy Note 9 อาจขัดใจกองเชียร์ นักวิจารณ์ออนไลน์ว่า “เห้ย ไม่ใหม่” ใช่ครับ ไม่ได้ใหม่อะไรเลย เส้นสายตัวเครื่อง กระจกหน้า หลัง สันกลางผิวด้าน ปากกาทรงเดิม สีสันเครื่องกับปากกาทำมาใหม่รับกับปัจจุบัน ก็แค่นั้น?
แค่นั้นแหละครับ แต่…อย่างแรกที่น่าประทับใจจริง ๆ ใน Galaxy Note 8 โดนบ่นเรื่องความสูงกับมิติเครื่องรวม ๆ รู้สึกไม่เข้ามือเต็มที่เท่า Galaxy Note 7 / Note FE ใน Galaxy Note 9 มีการปรับลดความสูง เกลาเส้นโดยรวมให้เข้ามือมากขึ้น (ซึ่งมองผ่าน ๆ ไม่รู้สึกเลย) ผลที่ได้ในการจับถือเครื่องแบบมือเดียว คือการจับถือที่กลับมาน่าประทับใจแบบ Note 7 / Note FE ที่ใช้งานมือเดียวได้คล่อง ตัวเครื่องมีมิติรวม ๆ พอกับ Galaxy S9+ แต่ด้วยทรงของ Galaxy Note 9 ที่ขอบมุมเป็นทรงเหลี่ยม ทำให้เครื่องจับถือในชีวิตจริงได้เข้ามือมากกว่า สันขอบจอ Edge ที่ทำมา ดีแล้วตั้งแต่ Galaxy Note 7 ไม่ต้องเปลี่ยนมุมหรือทำอะไรกับมันอีก
น้ำหนักของเครื่องตามสเปคมากขึ้น แต่สิ่งที่รู้สึก ไม่ใช่หนักขึ้น แต่เป็น “มั่นใจขึ้น” เพราะงานประกอบโดยรวม ไม่ได้แตกต่างจาก Galaxy Note 8 ทั้งความเนี๊ยบหรือช่องไฟต่างๆแต่น้ำหนักที่เพิ่มมาทำให้เครื่องดูเต็มมือแน่นขึ้นกว่าซึ่งผมให้ว่านี่คือกำลังดีแล้วเบากว่านี้ก็ได้ถ้าจัดไส้ในให้มันสมดุลทั้งหมดแต่เอาเป็นว่าน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นบนสเปคไม่ได้กระทบต่อการถือเครื่องแน่นอนครับ
จุดเดียวที่ยังไม่ถูกใจที่สุด คือตัวอ่านลายนิ้วมือ จริงอยู่ว่าย้ายลงมาตำแหน่งด้านล่างใต้กล้องถ่ายรูปแบบ Galaxy S9 แล้วตำแหน่งของมันอยู่ถูกที่แล้วแต่ขนาดของหน้าสัมผัสที่ค่อนข้างเล็กไปนิดเดียวทำให้ใช้งานจริงนิ้วชี้ขวากับซ้ายในการถือเครื่องมือเดียวแล้วใช้งานขนาดฝ่ามือผมที่น่าจะเรียกว่าใหญ่พอนิ้วชี้ยังพลาดที่จะไปสัมผัสมันตรงๆเพราะตำแหน่งตัวอ่านลายนิ้วมือสูงเกินนิ้วผมไปหน่อยและถ้าเป็นมือของคุณสุภาพสตรีหรือนิ้วมือค่อนข้างสั้นอาจต้องทำความคุ้นเคยกับมันสักพักเลยทีเดียว
โดยรวมแล้วหน้าตาไม่ได้มีความใหม่แต่การปรับรายละเอียดเล็กๆช่วยให้ความสวยเดิมที่ดีอยู่แล้วจบมากขึ้นไปในตัวครับ
ทำเรื่องเดิม ๆ ให้ง่ายขึ้น
ในเวลาไม่นานนักที่ได้ลอง Galaxy Note 9 สิ่งที่ผมพอจะเอามาเล่าได้หลัก ๆ ขอเล่า 3 เรื่องนี้ละกันนะครับ
ความเร็วของเครื่องในภาพรวม เหมือนกับ Galaxy S8 ไป Galaxy S9 เครื่องเดิมไม่ได้ช้า แต่เครื่องใหม่กระฉับกระเฉงกว่า ฉะนั้นแล้ว Galaxy Note 9 ให้การตอบสนองที่ดูกระฉับกระเฉงกว่า Note 8 เช่นกัน สำหรับความสามารถจุดขายแรก อยู่ที่ปากกา S-Pen ของ Galaxy Note 9 ให้การตอบสนองทุกสิ่งอย่างเหมือน Galaxy Note 8 ไม่ว่าจะความไว น้ำหนักของการกด แต่ที่ใหม่คือ ปุ่มของปากกา เป็นรีโมทกดถ่ายรูป / สลับกล้อง / ปรับพรีเซ็นต์เมื่อใช้กับ DeX ซึ่งปากกาของ Galaxy Note 9 จึงมี Bluetooth เพื่อการส่งคำสั่งไปที่เครื่อง และแบตเตอรี่ เพื่อให้ปุ่มกดทำงานกับ Bluetooth ได้
เมื่อลองใช้งานจริง การหยิบปากกาออกมาถือเอง แล้วประยุกต์กับการถ่ายรูป ไม่ว่าจะเซลฟี่ตัวเอง ตั้งกับขาตั้งแล้วใช้ปุ่มปากกาเป็นรีโมท ถ้าถือแบบแอบดี ๆ แล้วกด ก็จะดูดีกว่าการถือรีโมทช่วยถ่ายที่มากับไม้เซลฟี่อยู่พอสมควร การตอบสนองทำได้ทันใจ ไม่มีหน่วงหรือคิดนานเกินเหตุ มันอาจจะดูเล็กน้อยมาก แต่ในการใช้งานจริง ผมเชื่อว่าความสามารถนี้ คนที่ใช้ Galaxy Note 9 จะเอามาใช้บ่อยๆแน่นอน
อย่างต่อมาที่ได้ลองแบบชัดเจน คือการผสาน AI เข้าไปในโหมดอัตโนมัติของการถ่ายรูป (Samsung เรียกมันว่า Scene Optimizer) สามารถรองรับซีนของภาพที่สามารถตรวจจับได้ทั้งหมด 20 แบบ ซึ่งในงานวันนี้ ทาง Samsung จัดสถานที่ให้ลองใช้งานกัน สิ่งที่เห็นได้คือ การถ่ายในโหมดอัตโนมัติ ดูดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่…การตอบสนองของ AI ยังต้องปรับปรุงอีกพอสมควร ไม่ว่าจะความว่องไวในการคำนวณ การแสดงผลไอคอนว่า AI คำนวณให้แล้ว จุดเล็กไปสักหน่อย (เหมือนกับใน Honor 10) อาการเหล่านี้น่าจะดีขึ้นได้ด้วยการอัพเดทในอนาคตเช่นกัน
ข้างล่างนี้เป็นตัวอย่างภาพถ่ายจาก Note 9 ลองคลิกดูภาพเต็มได้นะครับ
อย่างสุดท้ายที่เล็กน้อย แต่น่าสังเกต นั่นคือการทำงานของเครื่องโดยรวม ไม่ฟันธงว่าดีขึ้น แต่ผมถือว่าประทับใจละกัน นั่นคือความร้อนของเครื่อง Smartphone หลายรุ่น เมื่อใช้งานอะไรสักอย่างต่อเนื่องกันในระยะเวลาหนึ่ง ถ้าไม่อุ่นนิด ๆ ก็แอบร้อนหน่อย ๆ แต่ Galaxy Note 9 ในระยะเวลาชั่วโมงกว่า ๆ ที่อยู่ในมือ แล้วเดินเล่นไปมา ถือว่าสอบผ่านอยู่ ไม่มีอุ่นหรือร้อนให้รู้สึกที่มือ จนก่อนคืนเครื่อง แล้วกดล้างเครื่องให้หมด ช่วงที่ล้างเครื่อง นั่นละครับ คืออุ่นมาเล็กน้อย ฉะนั้นในเบื้องต้น ระบบระบายความร้อนด้วยของเหลวที่ Samsung ชูเป็นจุดขายถือว่ามีจริงทำงานจริงแต่ดีชัวร์ไหมยังไม่ฟันธงครับ
สรุปคร่าว ๆ
“ถ้า Galaxy Note 8 ต้องฝ่าฟันฟ้าหลังฝน Galaxy Note 9 คือก้าวต่อไปที่สดใสแล้ว”
สิ่งที่ผมรู้สึกกับ Galaxy Note 8 ตลอดช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา คือการสร้างความมั่นใจให้กับ Samsung ทั้งหมดว่า “มือถือที่ทำมาดีจริง” หลังผ่านฝันร้ายของ Galaxy Note 7 ไปได้ หนึ่งปีของ Galaxy Note 8 ถือว่าทำหน้าที่หนักอึ้งนี้ได้สำเร็จแล้ว เมื่อ Galaxy Note 8 ทำไว้ดีมาก สัจธรรมของการตลาดคือ สินค้ารุ่นใหม่ต่อจากรุ่นที่ดีมาก ถ้าไม่ดีกว่าแบบสุด ๆ ก็ต้องรักษาความดีให้เท่าเดิมให้ได้ ถ้าเอาเวลาชั่วโมงกว่า ๆ ที่ผมได้ถือ Galaxy Note 9 ผมถือว่ามันรักษาสิ่งที่ควรจะรักษาไว้เพิ่มเติมคือลงตัวขึ้น
หลายครั้งเราอาจให้น้ำหนักของความใหม่ ต้องฉีก ต้องแปลก หรือไปไกลเกินกว่าที่คาดไว้ เราถึงจะเรียกมันว่า “ใหม่” “มีนวัตกรรม” แต่ถ้าวันหนึ่ง เราใช้งานกันจริง ๆ เราจะพบเองว่า เรื่องเล็ก ๆ แต่ดีขึ้น ลงตัวขึ้น ก็ทำให้ของชิ้นนั้นน่าใช้ขึ้นไปในตัว ฉะนั้นแล้ว ผมขอให้ความเห็นเป็นการส่วนตัวว่า Galaxy Note 9 เหมาะมากกับคนที่ใช้ Smartphone ฝั่ง Android รุ่นเก่ากว่าปัจจุบันไปสัก 2 ปี แล้วมองหา “รุ่นล่าสุด” มาใช้แทนเครื่องเดิม เก็บเป็นตัวเลือกได้เลยครับ หรือถ้าเป็นแฟน Galaxy Note อยู่แล้ว การเปลี่ยนจาก Galaxy Note 8 ไป 9 อาจไม่ได้ดูคุ้มทางเศรษฐศาสตร์แต่ทางความสุขใจและคล่องตัวจะรู้สึกได้แน่นอนซึ่งความสุขใจบางครั้งตีค่าเป็นหน่วยหรือตัวเลขจริงๆไม่ได้หรอกครับ
เอาเป็นว่าผมจองไปแล้วแหละ : )