ในปัจจุบันนี้ เราคงไม่สามารถปฏิเสธได้ลงว่า มือถือ นอกจากจะเป็นปัจจัยที่ 5 ของคนโดยทั่วไปแล้ว มันยังเป็นอุปกรณ์ที่เต็มและเพรียบพร้อมไปด้วยความบันเทิงแบบครบครัน ทั้งการดูหนัง ฟังเพลง ตลอดจนการเล่นเกมเป็นต้น แต่ด้วยความที่มือถือส่วนใหญ่ถูกออกแบบมาไว้สำหรับการใช้งานโดยทั่วไป ทั้งโทรศัพท์ เล่นเน็ต เช็คเมล จัดการชีวิตนู่นนี่เสียมากกว่า ทำให้มือถือส่วนใหญ่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการเล่นเกมมากนัก ดังนั้นเพื่อให้มือถือเหมาะกับการเล่นเกมมากขึ้น.. มือถือสายพันธุ์ใหม่อย่าง “Gaming Phone” จึงได้ถือกำเนิดขึ้นเป็นอีกหนึ่งซับเซ็ตย่อยของสมาร์ทโฟนในปัจจุบัน ซึ่งผู้ที่ริเร่มการก่อกำเนิดของ Gaming Phone ก็ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นค่ายมือถือน้องใหม่อย่าง Razer ที่ขอกระโดดมาร่วมแจมตลาดนี้อย่างเต็มตัว
Razer ถือกำเนิดขึ้นจากการเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์เสริมสำหรับการเล่นเกมบนคอมพิวเตอร์และเกมคอนโซลรายเล็ก ๆ แต่ก็สามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็วจนขยายธุรกิจจากอุปกรณ์เสริมไปสู่การเป็นผู้ผลิตฮาร์ดแวร์อย่างโน้ตบุ๊กเกมมิ่งเต็มตัว และธุรกิจมือถือ ก็เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ Razer ได้ขยายออกมาเมื่อสามปีที่แล้ว จากการเข้าซื้อสตาร์ทอัพมือถือ “Nextbit” เข้าบริษัทตัวเอง จนสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์และคลอดออกมาเป็น “Razer Phone” รุ่นแรกได้สำเร็จ
Razer Phone ได้รับเสียงตอบรับที่ดีมากจากกลุ่มเป้าหมาย แต่ก็ยังมีเสียงติบางส่วนที่ต้องนำไปปรับปรุง ซึ่ง Razer เองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ และได้นำเอาความสำเร็จ พร้อมข้อติเตียนดังกล่าวมาพัฒนาต่อยอดจนกลายเป็น Razer Phone 2 ที่เรากำลังจะรีวิวให้ทุกท่านได้ชมกัน ณ ที่นี้…
Razer Phone 2 เปิดตัวไปเมื่อปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมาและวางจำหน่ายเพียงไม่กี่ประเทศในขณะนั้น ซึ่งในประเทศไทยเองก็เป็นโอกาสที่ดีมากที่ AIS คว้าสิทธิ์การเป็นผู้จัดจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวของ Razer Phone มาครอบครองได้สำเร็จ ซึ่งก็สอดคล้องกับนโยบายธุรกิจของ AIS เองที่ต้องการขยายบริการอันยอดเยี่ยมไปสู่กลุ่มเป้าหมายใหม่ ๆ โดยเฉพาะตลาด Mobile Gaming ที่ในไทยกำลังร้อนแรงดั่งไฟร์เยอร์ในขณะนี้
ก่อนที่จะโม้ไปมากกว่านี้ ก็ต้องขอขอบคุณทาง AIS สำหรับตัวเครื่องรีวิวที่ส่งให้ผมได้เล่นจริง ใช้งานจริงเป็นระยะเวลาหนึ่งด้วยนะครับ
สำรวจรอบเครื่อง.. ไม่สิ... สำรวจรอบ "กล่อง"
ต้องบอกตามตรงว่าปัจจุบันผมไม่ค่อยตื่นเต้นกับกล่องมือถือสักเท่าไหร่ เพราะทรวดทรงส่วนใหญ่ของมือถือราคาตั้งแต่ 3,xxx ไล่ไปจนถึง 5x,xxx ก็ไม่ได้หนีไปกว่ากันกันมากนัก แต่สำหรับ Razer Phone 2 ผมพูดตามตรงว่า ตัวกล่องมันทำให้ผมกลับมามีความรู้สึกแบบนั้นอีกครั้ง เพราะมันกลับมาในทรงแบบกล่องใบใหญ่ ๆ แม้จะไม่ได้ใหญ่เท่าบ้านเหมือนสมัยก่อน แต่ก็ใหญ่พอตัวสำหรับกล่องมือถือในยุคนี้
กล่องสีดำทะมึนสกรีนลายงูอันเป็นเอกลักษณ์ของ Razer นี้ มันเป็นด่านหน้าที่จะพาเราไปเจอกับมือถือที่ดุดันที่สุดเท่าที่ AIS เคยวางขายมา ฉะนั้นไม่รอช้า.. กรีดซีลแล้วเปิดเข้าไปดูกันเลยครับ
หลังจากเปิดกล่องมา เราจะเจอกับจดหมายจาก Min-Liang Tan CEO ของ Razer ที่แนบมาแสดงความยินดีกับมือถือรุ่นใหม่ของคุณ พร้อมบรรยายสรรพคุณของรุ่นอย่างเสร็จสรรพ.. ด้านล่างมีลิงค์สำหรับเข้าไปยัง Razer Community ซึ่งเป็นคอมมูนิตี้สำหรับกลุ่มผู้ใช้สินค้า Razer โดยเฉพาะ
ภายในนั้นนอกจากเป็นกลุ่มคอมมูนิตี้แล้ว ยังมีไกด์แนะนำการตั้งค่าเครื่องครั้งแรก การสร้างบัญชี Razer Account สำหรับใช้จัดเก็บการตั้งค่าต่าง ๆ (เหมือนกับ Samsung Account บน Galaxy ทุกตัว) และมีคำแนะนำในการใช้งาน Razer Cortex ซึ่งเป็นแอปฯ จัดการประสิทธิภาพของเครื่องอีกด้วย (เดี๋ยวผมจะกล่าวต่อในพาร์ทต่อไป)
ที่ฝากล่องก็ยังมีการสกรีนเลเซอร์ด้วยสโลแกนประจำรุ่นอย่าง FLAGSHIP // GAMING อีกด้วย สร้างความแตกต่างได้อย่างชัดเจน
หลังจากหยิบจดหมายออก สิ่งต่อมาที่จะเจอเลยก็คือเจ้า Razer Phone 2 ที่กำลังนอนแน่นิ่งอย่างสงบสุข เราจะข้ามตัวเครื่องไปก่อน แล้วไปเจาะดูอุปกรณ์ในกล่องกันก่อนดีกว่า~
พอเราพับชั้นมือถือออกไป เราก็จะเจอกับซองใส่เอกสารสำคัญซึ่งประกอบไปด้วย คู่มือการใช้งาน เอกสารการรับประกันตัวเครื่อง สติ๊กเกอร์งูสีเงิน พร้อมโลโก้ Razer Chroma และเข็มจิ้มซิมที่ออกแบบไม่เหมือนชาวบ้าน
เข็มจิ้มซิมของ Razer Phone 2 ออกมาในหน้าตาแบบที่เห็นครับ สีดำด้านโทนเดียวกับตัวเครื่อง พร้อมเจาะตัวอักษรข้างในเป็นโลโก้ Razer อย่างที่เห็น พริบตาแรกที่ผมหยิบมันออกมาเพื่อถอดเอาซิมใส่… แทบอยากจิ๊กกลับบ้านเลยล่ะครับ ฮาา
ชั้นสุดท้ายในกล่องก็เป็นพวกอุปกรณ์เสริมทั่ว ๆ ไป แต่ที่มันไม่ธรรมดา ก็เพราะว่าสายชาร์จ USB-C ของ Razer Phone 2 มันเป็นสายแบบสายถัก! ซึ่งน้อยรายมากที่จะกล้าให้สายถักแบบนี้ ส่วนหัวชาร์จ เครื่องที่ได้มาลองเข้าใจว่าเป็นเครื่องจากสิงคโปร์ เลยได้หัวชาร์จแบบปลั๊กสิงคโปร์เต็ม ๆ (แต่เห็นว่าล็อตแรกที่ขายไป ก็เป็นหัวนี้เหมือนกัน…?) หัวชาร์จนี้ไม่ได้มีความพิเศษอะไรมากครับ เป็นหัวชาร์จมาตรฐาน Qualcomm QuickCharge 4+ ซึ่งถ้าใครไม่อยากเอามาใช้ ก็สามารถหาซื้อหัว QuickCharge 4+ มาใช้แทนได้ ให้ประสิทธิภาพในการชาร์จที่ไม่ต่างกันครับ
ที่สำคัญที่สุดเลย… Razer Phone 2 ไม่ได้มีพอร์ตหูฟัง 3.5mm Combo Jack ให้บนตัวเครื่อง ฉะนั้นเราก็ต้องใช้หัวแปลงแบบนี้ในการเสียบหูฟังเพื่อใช้งาน ซึ่งถ้าใครไม่สะดวกที่จะใช้จากในกล่อง ก็ไปซื้อของ iPad Pro ใช้แทนได้ ซึ่ง Apple ขายราคา 390 บาทครับ…
กลับมาที่ตัวเครื่องกันดีกว่า ตัวเครื่อง Razer Phone 2 ออกแบบมาในรูปแบบ Slate ไม่ได้มีขอบ Edge ไม่ได้เป็น 2.5D Curve แบบมือถือสมัยใหม่ ใช่ครับ นี่คือมือถือที่ขายในปี 2018 เนี่ยแหละ แม้ว่าทรวดทรงจะหลุดมาจากปี 2011 ก็ตาม
ภาพแรกที่ผมเห็น ผมนึกว่านี่คือมือถือ Sony ยุค Omni-balance มาแปะตรางูเขียวยังไงยังงั้น ตัวเครื่องเป็นขอบเหลี่ยมทั้งสีด้าน แต่เกลามุมให้มีความมนไม่ดูเหลี่ยมจัดจนเกินไป ด้านหน้าเป็นหน้าจอ IGZO LCD ขนาดใหญ่ 5.72 นิ้ว ความละเอียด QuadHD ที่พีคคือหน้าจอนี้เป็นหน้าจอแบบ UltraMotion ซึ่งมีอัตรารีเฟรชเรตและ Touch Sensing สูงถึง 120 Hz เมื่อเปิดเต็มสตรีม หน้าจอ Razer Phone 2 สามารถลดความหน่วงความช้าของ Android ทิ้งไปได้ทั้งหมด เรียกว่าหลุดมาจากคนละโลก Android เลยทีเดียว และที่สำคัญที่สุด หน้าจอนี้เป็นหน้าจอที่ Netfilx ให้การการันตีว่า ดูหนังบน Netflix ได้ดีที่สุด เที่ยงตรงที่สุดในอุตสาหกรรมอีกด้วย
ด้านบนล่างของหน้าจอก็เป็นลำโพงสเตอริโอขนาดใหญ่ ซึ่งให้เสียงที่ดังมาก! เมื่อเทียบกับ iPhone X และ Samsung Galaxy S9 ที่เป็นลำโพงสเตอริโอเช่นกัน เสียงของ Razer Phone 2 จะดังและกังวาลกว่าทั้งสองรุ่นอย่างชัดเจน และด้วยความสามารถของ Dolby Atmos ก็ยิ่งทำให้เสียงที่ออกมาจากลำโพงของ Razer Phone 2 นั้นมีมิติและมีความตื้นลึกอย่างชัดเจน
ด้านหลังของตัวเครื่องเป็นกระจกแผ่นใหญ่ ด้านบนเป็นกล้องคู่ 12 ล้านพิกเซล ใช้เซ็นเซอร์ Exmor RS รุ่นใหม่ล่าสุดจาก Sony ตามกระแสนิยม และตัวขดแม่เหล็กสำหรับใช้ชาร์จไฟแบบไร้สายที่ฝังอยู่ด้านหลังช่วงบน ๆ แต่ที่เป็นไฮไลต์ของรุ่นจริง ๆ คือโลโก้งูเขียวที่อยู่ถัดลงมาจากกล้อง
ใน Razer Phone รุ่นแรก มีข้อติในเรื่องนี้มากว่าจุดเด่นของยี่ห้ออย่างแสง Razer Chroma นั้นหายไป ใน Razer Phone 2 ก็เลยจัดให้ตามคำเรียกร้องกับแสง Razer Chroma อันเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งแสงนี้จะติดขึ้นทุกครั้งเวลาเราเปิดใช้งานเครื่องอยู่ ทำให้สร้างความแตกต่างและความโดดเด่นได้อย่างชัดเจน และที่สำคัญสุดแสงนี้ยังทำหน้าที่เป็น Notification Light ของเครื่องไปในตัว โดยเราสามารถกำหนดค่าให้กับตัวเครื่องได้ว่า เวลามี Line เข้า อีเมลเข้า หรือมีสายเข้า จะให้โลโก้เรืองแสงเป็นสีอะไร ซึ่งจะช่วยให้เราแยกประเภทของ Notification ที่เข้ามาได้อย่างชัดเจน
ด้านข้างเครื่องก็เป็นที่อยู่ของปุ่มสั่งการต่าง ๆ โดยข้างซ้ายเป็นที่อยู่ของถาดซิมซึ่งอยู่ด้านบน และปุ่มปรับเสียงที่อยู่ในระดับที่ต่ำลงมา ส่วนด้านขวาเป็นที่อยู่ของปุ่ม Power ซึ่งเจ้าปุ่มนี้ ทำหน้าที่เป็นตัวอ่านลายนิ้วมือในตัว เราสามารถเพิ่มลายนิ้วมือลงไปในเครื่องเพื่อใช้ปลดล็อกตัวเครื่องได้ หรือนำไปใช้ร่วมกับระบบความปลอดภัยของ Android ได้ทั้งหมด
ด้านล่างก็เป็น USB-C ตามสมัยนิยม แต่อย่างที่บอกไปคือตัวเครื่องไม่ได้มีพอร์ต 3.5mm ให้ ฉะนั้นพอร์ตนี้ก็ทำหน้าที่เป็นพอร์ตสำหรับเสียบหูฟังด้วยเช่นกัน ซึ่งหูฟังนั้น Razer ไม่ได้แถมมาในกล่องให้นะ แต่มีขายแยกเป็นอุปกรณ์เสริม เข้าใจว่าทาง Razer ก็อยากให้ผู้ใช้เลือกหูฟังที่เหมาะสมกับต้วเองมากกว่า ซึ่งนอกจากหูฟัง Razer Hammerhead แบบ 3.5mm แบบ USB-C และแบบบลูทูธ ที่วางขายตามปกติแล้ว Razer ยังมีอุปกรณ์เสริมเป็นสายเสียบ 3.5mm to USB-C ขายแยก สำหรับคนที่ใช้หูฟังที่สามารถเปลี่ยนสายเสียบได้อีกด้วย
เปิดเครื่อง! เริ่มใช้จริง!!!
หลังจากที่เราเตรียมเครื่องเสร็จแล้ว ก็เริ่มเปิดใช้งานจริงกันเลยดีกว่า สัมผัสแรกของ Razer Phone 2 ก็เหมือนกับมือถือ Android ทั่ว ๆ ไป เพราะตัวระบบของเครื่องนั้นใช้แบบกึ่ง Pure Android เลย คือจะเป็น Pure ก็ไม่ใช่ จะครอบหมดก็ไม่เชิง เพราะมันยังมีจุดที่แตกต่างไปจากมือถือ Pure Android ไปแบบพอสมควร
UI หน้าหลักของเครื่อง Razer ได้เลือกใช้บริการของ Nova Launcher ซึ่งเป็นหนึ่งใน Launcher ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของฝั่ง Android และมีหน้าตาที่ละม้ายคล้ายกับ Pure Android ชนิดที่แยกกันเกือบไม่ออก แต่แตกต่างด้วยลูกเล่นและเอฟเฟคต่าง ๆ ที่ทำได้ดีกว่า Pure Android พอสมควร ทั้งลูกเล่นในการทำ Transition ระหว่างหน้า Launcher และลูกเล่นในการเปลี่ยนธีมผ่าน Razer Theme Store เป็นต้น
แอปพลิเคชันส่วนใหญ่ในเครื่องใช้บริการจาก Google แทบจะทั้งหมด และไม่มีแอปฯ ที่ทาง Razer ตัดแต่งเองเลยแม้แต่น้อย ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องที่ดีที่ Razer ยังคงรักษา Experience ในการใช้งาน Android ให้ไม่ต่างจากยี่ห้ออื่นๆ มากนัก แถมยังทำได้โดดเด่นกว่าด้วยคุณภาพฮาร์ดแวร์อย่างจอ UltraMotion ที่เรียกได้ว่า กลบความอืดของ Android UX อย่างหมดจด จนไม่เหลือข้อติใด ๆ เลย
อีกสิ่งหนึ่งที่ Razer ทำได้ดีกว่ามือถือระดับเดียวกัน คือลูกเล่นในการปรับแต่งประสิทธิภาพตัวเครื่อง โดยเฉพาะกับการเล่นเกมที่ Razer ทำได้ดีที่สุด โดยตัวเครื่องจะมาพร้อมกับแอปฯ Razer Cortex ซึ่งเป็นแอปฯ ที่จะช่วยจัดการประสิทธิภาพและพลังงานของเครื่องอย่างเต็มที่ ตัวอย่างที่ผมได้ลองคือการเล่นเกม Ragnarok M: Eternal Love ซึ่งเป็นเกมที่ค่อนข้างใช้สเปคสูงในระดับที่มือถือเรือธงบางตัวยังให้ประสบการณ์ได้ไม่ดีเท่าฝั่ง iOS แต่ด้วยคุณสมบัตินี้ ทำให้ Razer Phone 2 สามารถตอบสนองการเล่นเกมได้ดีถึงดีมาก และสามารถจัดการและรีดประสิทธิภาพเครื่องออกมาได้ดีที่สุดตามที่เราต้องการ
และที่เหนือไปกว่านั้น ตัวเครื่องสามารถจัดการประสิทธิภาพได้เป็นรายเกม โดยสามารถเลือกได้เลยว่าจะให้เกมนี้ ใช้ประสิทธิภาพอย่างไรบ้าง เช่นใช้ความเร็วประมวลผลจาก CPU เท่าใด ใช้ความละเอียดหน้าจอเท่าไหร่ ใช้เฟรมเรตเท่าไหร่ และจะให้ตัวเกมเรนเดอร์ภาพแบบไร้รอยขอบหรือไม่เป็นต้น แม้กำหนดได้ละเอียดมาก แต่ในความเป็นจริงเราก็ยังคงไม่ทราบได้ว่าเราจะต้องการประสิทธิภาพยังไงกันแน่ ตัว Razer Cortex จึงมี Preset ให้เลือกต่อเกมสูงสุดถึง 5 แบบ
เช่นถ้าผู้ใช้ต้องการประสิทธิภาพสูงโดยไม่เกี่ยงเรื่องแบต ก็สามารถเลือกตัวเลือกไปทาง High Performance เพื่อรีดเอาประสิทธิภาพสูงสุดของเครื่องออกมาได้เลย แต่ถ้านาทีนั้นต้องการประหยัดแบตจริง ๆ ก็สามารถเลือกไปทาง More Battery เพื่อรักษาแบตเตอรี่ได้เช่นเดียวกัน ตัวเกมก็จะตัดประสิทธิภาพของตัวเครื่องในบางส่วนให้แบบอัตโนมัติ
แต่ก็ใช่ว่าทุกเกมจะรองรับประสิทธิภาพสูงหรือปรับประสิทธิภาพเครื่องกันทั้งหมด ดังเช่น Ragnarok M ที่ผมเล่น ก็ไม่รองรับการลดความละเอียดหน้าจอ จึงจำเป็นต้องเลือกตัวเลือก Full Resolution เพื่อยังคงรักษาให้เกมสามารถทำงานได้ตามปกติ แล้วถ้าถามว่ามีเกมไหนที่รองรับการปรับแต่งประสิทธิภาพบ้าง ก็ขอยกตัวอย่างเกมที่เป็นพาร์ทเนอร์กับ Razer เช่น Arena of Valor (หรือ ROV), Vain Glory, PUBG Mobile และเกมในเครือ Netmarble ที่มีเกมเกรด A ให้เล่นเป็นจำนวนมากเป็นต้น
อธิบายเรื่องเกมมาซะยาวเหยียด เชื่อว่ามาจนถึงตอนนี้ หลายคนน่าจะมีคำถามกันพอสมควรว่า Razer Phone นั้นร้อนมั้ย? คำตอบก็คือ ไม่ร้อน… แต่ก็ไม่เย็นซะทีเดียวครับ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ก็เป็นเพราะว่า Razer Phone 2 มีระบบระบายความร้อนด้วยไอน้ำที่เรียกว่า Vapor Chamber Cooling ซึ่งการวางระบบระบายความร้อนด้วยแผ่นทองแดงขนาดใหญ่พร้อมใส่ของเหลวไว้เป็นตัวระบายความร้อนประมาณหนึ่ง ทำให้ตัวเครื่องสามารถระบายความร้อนส่วนใหญ่ออกมาบริเวณข้างเครื่องได้อย่างรวดเร็ว และลดปัญหาที่ตัวเครื่องทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพเนื่องมาจากความร้อนได้อย่างดีเยี่ยม
ส่วนเรื่องแบตเตอรี่คงไม่ต้องเป็นกังวลมาก เพราะ Razer Phone มาพร้อมกับแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ยักษ์ความจุ 4000 mAh ปริมาณนี้แม้อาจจะสู้ Huawei Mate 20X ไม่ได้ แต่พอเอาเข้าจริง ๆ Razer Phone สามารถใช้งานแบบทั่ว ๆ ไปได้อย่างดีเยี่ยมพอควร อารมณ์ประมาณว่าถ้าไม่เล่นเกมเลย ซื้อมาเพื่อใช้งานทั่ว ๆ ไป แบตอยู่ได้ราว ๆ 1-2 วัน แต่ถ้าเล่นเกมด้วยประสิทธิภาพสูงสุด ก็อยู่ได้อย่างต่ำ 5 ชั่วโมงขึ้นไป ถือว่าไม่ใช่เล่น ๆ สำหรับสมาร์ทโฟนเพื่อการเล่นเกมแบบนี้
ในส่วนของการชาร์จกลับ ตัวเครื่องรองรับ Qualcomm QuickCharge 4+ อยู่แล้ว จึงไม่ต้องเป็นกังวลมากกับการชาร์จ เพราะตัวเครื่องใช้เวลาชาร์จจาก 0-60 ประมาณ 40 นาที และไปถึง 90% ได้ในเวลาเพียงชั่วโมงครึ่ง ถือว่าไม่ได้สร้างความแตกต่างมากนักเมื่อเทียบกับมือถือที่มีมาตรฐาน QuickCharge รุ่นอื่น ๆ ในท้องตลาด
กล้องถ่ายรูป ของดีที่ไม่ใช่ไก่กาแบบทั่วไป
Razer Phone 2 เปิดตัวมาในฐานะของสมาร์ทโฟนสำหรับการเล่นเกมโดยเฉพาะ แต่ถ้ามองในมุมคนที่ต้องใช้เครื่องนี้เป็นหลักล่ะ? แล้วฟีเจอร์เรื่องกล้องจะสู้รุ่นอื่น ๆ ได้หรือไม่? คำตอบคือ “ได้” ครับ แถมยังดีพอ ๆ กับสมาร์ทโฟนเรือธงรุ่นอื่น ๆ ที่ใช้เซ็นเซอร์ตัวเดียวกันเลย
ตัวเครื่อง Razer Phone 2 มาพร้อมกับเซ็นเซอร์ Exmor RS ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล วางเลนส์แบบคู่เพื่อรองรับการถ่ายภาพทั้งแบบ Wide และแบบ Telephoto รวมถึงรองรับ Optical Zoom แบบไม่เสียความละเอียดได้ถึง 2 เท่า และด้วยความที่มันเป็นกล้องคู่แบบสมัยนิยม มันจึงมีฟีเจอร์ที่สมาร์ทโฟนในยุคนี้มีแทบทั้งหมด เช่นการถ่ายภาพ High Dynamic Range หรือถ่าย Portrait เป็นต้น
กล้องหน้าเองก็เป็นอีกหนึ่งของดีที่ดีไม่แพ้กัน ตัวกล้องหน้ามาพร้อมระบบ Beauty Mode สามารถปรับสภาพผิวบุคคลด้วย AI ได้ และยังรองรับการถ่ายภาพ Portrait ด้วยการใช้ AI ตัดขอบภาพได้อีกด้วย ในเรื่องของภาพถือว่า Razer Phone 2 ทำได้ดีในสภาพแสงทั่ว ๆ ไป แต่ข้อเสียของกล้องบน Razer Phone 2 คือถ่ายภาพกลางคืนยังไม่ดีเท่าที่ควร เข้าใจว่าน่าจะเป็นปัญหามาจากการปรับแต่งฮาร์ดแวร์ของตัวซอฟต์แวร์ในเครื่องมากกว่าปัญหาที่เซ็นเซอร์โดยตรง เพราะภาพตัวอย่างที่ Razer เอามาโชว์นั้นสวยกว่าที่ถ่ายเองมาก ฉะนั้นจึงขอไม่คอมเม้นท์เรื่องนี้ และปล่อยให้เวลาเป็นตัวตัดสินแทนละกันครับ
ส่งท้าย
การที่จะหามือถือเครื่องหนึ่งที่เพรียบพร้อมต่อการใช้งานทุกด้าน ผมว่ามันเป็นอะไรที่ค่อนข้างท้าทายพอสมควรเลยล่ะ เพราะมันไม่ใช่ว่าทุกคนจะต้องใช้เหมือนกันหมด บางคนเอาไปเพื่อใช้โทรเข้าโทรออก เล่น Facebook/ฟังเพลง หรือบางคนเอาไปเพื่อเล่นเกม แคสเกมกันเป็นหลักอะไรประมาณนี้ ฉะนั้นการที่จะหามือถือที่เพรียบพร้อมในทุก ๆ ด้านในสมัยนี้ ถือเป็นอะไรที่ท้าทายความสามารถคนซื้อกันอยู่พอสมควร
ถามว่า Razer Phone 2 ตอบโจทย์ในด้านไหนบ้าง สำหรับผมเองก็คงตอบด้านเกมเป็นหลัก เพราะตัวเครื่องถูกออกแบบมาในเรื่องนี้เป็นอย่างดี แต่ถ้าถามต่อว่าแล้วเหมาะสมกับการใช้งานแบบทั่ว ๆ ไปหรือไม่ อันนี้ก็ต้องตอบว่าแล้วแต่คนชอบ User Experience แบบไหนมากกว่าครับ เพราะบางคนอาจจะชอบ Samsung Experience ที่ Samsung ทำออกมาดีมาก หรืออาจจะชอบ EMUI ของ Huawei ที่มีความสามารถรอบด้าน หรืออาจจะชอบความเป็น Pure Android ที่สามารถใช้งานและดัดแปลงได้อย่างหลากหลายต่อทุกสถานการณ์อะไรประมาณนี้ ซึ่ง Razer Phone เองก็เป็นหนึ่งในรุ่นที่ตกไปอยู่ช้อยส์ท้าย ๆ เช่นเดียวกับหลาย ๆ รุ่น เพราะด้วยความที่มันเป็นกึ่ง Pure Android นั่นเอง
อนึ่งผมคงต้องบอกว่าทาง AIS เองก็ไม่ได้ตั้งใจขาย Razer Phone 2 ให้ลูกค้าที่ต้องการใช้งานเป็นเครื่องหลักเหมือนกัน ด้วยฟีเจอร์และฟังก์ชันบางอย่าง อาจจะยังไม่เหมาะสมต่อการใช้งานแบบทั่ว ๆ ไปเท่าไหร่นัก แต่กลุ่มเป้าหมายที่ AIS เจาะตรง คือกลุ่มลูกค้าเกมเมอร์ที่ต้องการหาความแตกต่างและความเป็นเอกลักษณ์ในตัว ฉะนั้นแล้ว Razer Phone 2 จึงน่าจะเหมาะกับลูกค้ากลุ่มนี้เป็นอย่างดี
ค่าตัว 27,990 บาทแพงไปไหม? ผมบอกเลยว่าไม่แพงครับ เทียบกับสิ่งที่ได้มา ถ้าจะคานด้วยมือถือใช้ Snapdragon 845 แต่ราคาต่ำกว่าหมื่น อันนั้นเราคงต้องมาเจาะองค์ประกอบกันว่า ดีจริงแค่หน่วยประมวลผล แต่ฮาร์ดแวร์ชิ้นส่วนอื่น ๆ นั้นสู้ Razer Phone 2 ได้หรือไม่ เพราะ Razer Phone 2 เองก็ให้ฮาร์ดแวร์ที่คุณภาพสูงตามราคา ทั้งหน้าจอ ระบบเสียง และระบบระบายความร้อนเป็นต้น
ดังนั้นแล้ว ถ้าใครกำลังมองหามือถือใหม่เพื่อเอามาเล่นเกมเป็นงานหลัก อย่างน้อย Razer Phone 2 ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจในช่วงนี้ หรือก็จนกว่าจะมีมือถือแนว Gaming Phone ตัวใหม่ที่น่าสนใจกว่านี้นั่นแหละครับ
ขายของเล็กน้อย...
ก่อนจบรีวิวครั้งนี้…. ทาง AIS ฝากขายของกันเล็กน้อย ขายตรง ไม่พูดแบบอ้อมค้อมครับ ฮาา
ใครที่กำลังสนใจ Razer Phone 2 อยู่ แต่ยังไม่ได้ซื้อตอนช่วงเปิดตัวใหม่ ๆ เพราะโปรยังไม่เร้าใจพอ วันนี้ ทาง AIS ออกแคมเปญ Hotdeal ให้กับ Razer Phone 2 เรียบร้อยแล้ว โดยทาง AIS มอบส่วนลดให้สูงสุด 6,000 บาท เมื่อซื้อเครื่องพร้อมสมัครแพ็คเกจ 4G Hotdeal Unlimited แพ็คเกจเดียวที่ให้คุณเล่นได้ทั้ง 4G และ Next G ได้อย่างไม่มีจำกัด พร้อมรับสิทธิ์ชมฟรีกับ AIS Play Premium ที่ให้คุณดูรายการคุณภาพจาก AIS Play, HOOQ และ VIU ได้ฟรีสูงสุด 6 เดือน และรับสิทธิ์เป็นสมาชิก Serenade ฟรี 1 ปี เมืื่อสมัครแพ็คเกจตามที่กำหนด
และพิเศษยิ่งกว่ากับลูกค้า AIS Serenade รับสิทธิ์ส่วนลดสูงสุด 4,000 บาททันที โดยไม่ต้องชำระค่าบริการล่วงหน้า เพียงมีหรือสมัครแพ็คเกจใดก็ได้ตามราคาที่กำหนด
ข้อเสนอดี ๆ แบบนี้รับสิทธิ์ได้แล้วตั้งแต่วันนี้ – 10 มกราคม 2562 ที่ AIS Online Store และ AIS Shop สาขาที่ร่วมรายการครับ