ความฝัน จินตนาการ คือวัตถุดิบเบื้องต้นของการพัฒาสิ่งต่าง ๆ วงการเทคโนโลยี คงอาจเป็นมากกว่าวัตถุดิบ แต่คือสารอาหารจำเป็นที่ทำให้วงการนี้ก้าวมาได้ถึงทุกวันนี้ และยังต้องก้าวต่อไปอีก เชื่อว่าช่วง 1-2 เดือนนี้ ข่าวสารที่ทุกคนได้เห็นกันมากสุดของโลกเทคโนโลยี ต้องหนีไม่พ้น “มือถือจอพับ” ซึ่งเป็นผลผลิตด้านหนึ่งของการก้าวสู่ 5G และหนึ่งในผู้ผลิตที่ทำทั้งเครือข่าย อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่น่าจะได้สิ่งที่เรียกว่า พื้นที่สื่อฯ มากที่สุด ต้องยกให้ Huawei ที่ส่ง Mate X (เมท เอ๊กซ์) มาให้โลกรู้ว่า “พร้อมจะส่งอุปกรณ์แนวจอพับแบบนี้ให้โลกได้ใช้แล้วนะ”
และนี่คือโอกาสอันดี ที่ทาง Huawei ประเทศไทย นำต้นแบบ Mate X มาให้สื่อมวลชนได้ลองชมกันแบบใกล้ ๆ ทั้งนี้ ไม่มีสื่อฯ ไหน ได้เล่นแบบจับกับมือจริง ๆ อันเนื่องมาจากเครื่องต้นแบบนี้ มาแค่เครื่องเดียว เพื่อป้องกันความเสียหายของเครื่อง ทาง Huawei จึงใช้การจัดกลุ่มสาธิตให้ดูว่า เป็นอย่างไร ทำอะไรได้บ้าง
ทั้งนี้….การได้รับชมแค่ใกล้ ๆ ก็ให้อะไรหลายอย่างพอที่จะเล่าให้ฟังดังนี้ครับ ^^
เรื่องของ 5G จากฝั่งคนทำเครือข่ายขาย คือ…
ก่อนจะเล่าถึงพระเอกในบทความนี้ ขอท้าวความเรื่อง 5G ที่เป็นงานหลักของ Huawei ในวงกว้างว่า 5G จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกับโลกการสื่อสารแบบพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นความเร็วในการเชื่อมต่อที่ก้าวกระโดดจาก 150 Mbps ที่เราคุ้นเคยกันในยุค 4G เป็น 20 Gbps ได้เห็นค่า Latency หรือค่าความหน่วงเวลาลดต่ำลงเหลือเพียงไม่ถึง 1ms ทั้งหมดนี้จะช่วยให้เทคโนโลยีที่ในตอนนี้ยังเป็นเพียงแค่ความฝันสามารถเกิดขึ้นได้จริง เช่น เทคโนโลยี VR, เทคโนโลยี AR, เทคโนโลยีรถยนต์ไร้คนขับ หรือแม้กระทั่งเทคโนโลยีการควบคุมระยะไกลที่ก่อนหน้านี้ Huawei ได้ทดสอบการผ่าตัดด้วยเทคโนโลยีการควบคุมระยะไกลผ่าน 5G จนสำเร็จเป็นเคสแรกมาแล้ว
Huawei สรุปให้เราฟังแบบคร่าว ๆ ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป นั่นคือเราจะได้เห็นอุปกรณ์ 5G เกิดขึ้นอีกเป็นจำนวนมาก ไม่ใช่หลักพันล้าน แต่เป็นแสน ๆ ล้าน คร่าว ๆ คือเราจะได้เห็นมือถือ 5G กว่า 8 พันล้านเครื่อง อุปกรณ์ IoT ที่สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้อีกกว่า 40,000 ล้านเครื่อง และไม่ใช่แค่นั้น เรายังจะได้เห็นอุปกรณ์เหล่านี้เติบโตขึ้นไปอีกเป็นจำนวนมาก มากชนิดที่ว่าไม่ว่าเราหันไปทางไหน ก็จะได้เห็นอุปกรณ์ IoT กันแทบทั้งหมด
และเพื่อการนี้โดยเฉพาะ Huawei ได้ลงเงินศึกษาและค้นคว้าเกี่ยวกับเทคโนโลยี 5G ไปแล้วกว่า 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เฟ้นหาวิศวกรมือคุณภาพกว่า 500 คน และยังตั้งฐาน R&D เพื่อพัฒนาในส่วน 5G โดยเฉพาะกว่า 9 แห่งทั่วโลก เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดสำหรับ 5G ตั้งแต่ต้นน้ำ เช่น อุปกรณ์โครงข่าย เทคโนโลยี ชิปเซ็ต ไปจนถึงปลายน้ำ หรือผลิตภัณฑ์สำหรับลูกค้าทั่ว ๆ ไปนั่นเอง และด้วยความที่ Huawei บุกเบิกการพัฒนาอุปกรณ์และเทคโนโลยีสำหรับ 5G อย่างเต็มตัว ทำให้ในตอนนี้มีผู้ให้บริการรายใหญ่ของโลกเลือก Huawei ไปพัฒนาโครงข่าย 5G ของตัวเองในหลายมุมโลกแล้ว
เอาละ ถึงเวลามาทำความรู้จักผลผลิต 5G แบบจับต้องได้กันในหัวข้อถัดไปครับ
Mate X แบบใกล้ ๆ
ในงานวันนี้ ทุกคนได้เห็นเครื่องในตู้กระจก แน่นอนว่า เป็นใครก็รุมถ่ายรูป รุมดูด้วยความตื่นเต้น โดยสเปคเบื้องต้นที่น่าสนใจของ Mate X มีดังนี้
- จอ P-OLED ขนาดใหญ่ 8 นิ้ว พับได้ เมื่อพับแล้วเหลือเพียงแค่ 6.6 นิ้ว สำหรับจอหลัก และ 6.38 นิ้ว สำหรับจอรอง (ด้านหลัง)
- กลไกการพับเครื่องแบบ Falcon Wing Design ช่วยให้การ “หัก” จอมาประกบกันสามารถทำได้อย่างสวยงามและไร้รอยต่อ
- ชุดกล้องหลักที่พัฒนาร่วมกับ Leica รองรับทั้งการถ่ายภาพทั่ว ๆ ไป และการถ่ายเซลฟี่โดยใช้จอหลัง
- เร็ว แรง และประหยัดแบตเตอรี่สุด ๆ ด้วยชิปประมวลผล Kirin 980 คู่กับชิปโมเด็ม Balong 5000 พร้อมรองรับ 5G ทุกรูปแบบ ทั้งแบบ NSA (เครือข่ายที่มี 5G ใช้งานร่วมกับ 4G) และ SA (เครือข่ายที่มีแต่ 5G)
- ชาร์จไฟเร็วแบบสุด ๆ ด้วย Huawei SuperCharge ความแรง 55W สามารถชาร์จแบตได้สูงถึง 3825 mAh หรือราว ๆ 80% ด้วยเวลาเพียงแค่ 30 นาที
สิ่งแรกที่เห็นได้เลยคือ เครื่องดูดีมาก ถ้าตัดเรื่องหน้าจอ ด้านนอก แล้วแปลงด้านนอกให้เป็นแค่ผิวสัมผัสปกติ ผมจะนึกถึง Sony Vaio P ที่เป็น Notebook ที่เล็กที่สุด ชวนให้อยากได้ที่สุดเพราะความน่าพกพาในเวลานั้น Mate X ก็ให้อารมณ์นั้น เล็ก น่าพกพา การถือขณะที่พับจอไว้ ใช้พื้นที่ในอุ้งมือไม่ต่าง หรืออาจมากกว่าการถือมือถือขนาด 6.5 นิ้ว สักเล็กน้อย ทำให้การถือตามปกติแบบมือถือ ดูเป็นเรื่องไม่ต้องปรับตัวมาก และเมื่อกางจอออกมา ถือส่วนสันมือเดียว มันให้ความรู้สึกเหมือนมือถือของ Tony Stark ในฉากนึงของ Captian America : Civil War (ถ้าใครเคยดู จะนึกออกว่า ถือ Mate X แล้วเหมือนในฉากไหน)
การเปิดจอด้านใน ต้องพลิกไปด้านหลังเครื่องซึ่งมีกล้องถ่ายรูปอยู่ แล้วปลดสลักเพื่อกางออก เสร็จแล้ว กลับหลังเพื่อใช้จอเต็มขนาด 8 นิ้วได้เลย โดยสิ่งที่เห็นคือ การปลดและล็อค ทำได้ดูดี ไม่ได้เด้งแรง ๆ ออกแรงเปิด หรือดูหลวมอะไร มันให้ความรู้สึกดูดีในการปลด เปิด และถ้ามองดี ๆ ก่อนจะเปิดจอพับ ตัวเครื่องที่พับอยู่ ดูราบเรียบตามที่ Huawei ตั้งใจ ซึ่งส่งผลให้เครื่องดูดีเมื่อใครได้พบเห็นด้วย
หน้าจอของเครื่องไม่ว่าจะด้านนอกหรือใน เป็น OLED แบบไม่มีกระจก ถ้านึกไม่ออกว่า ผิวสัมผัสต่าง ๆ เหมือนอะไร ให้ลองไปดูจอภาพกลางร้าน Apple Store ที่ Iconsiam ได้ เพราะลักษณะผิวสัมผัสจอเป็นผิวที่เหมือนป้ายโฆษณาแบบสติ๊กเกอร์ที่รีดกับกระจกหน้าร้าน แน่นอนว่า Mate X ที่เอามาโชว์ มีหลายจุดที่เหมือนยังรีดอากาศออกไม่หมด โดยเฉพาะรอยพับที่เห็นได้ว่า มีลักษณะสติ๊กเกอร์ที่ไม่โดนรีดอากาศออกไปหมด
แต่ทันทีที่จอติด แสดงผลออกมา ภาพที่ได้ สวย สวยมาก สวยสุด ๆ การไม่มีกระจกอยู่คลุมหน้าจอ ทำให้ภาพ สี ที่ได้ออกมา สวยงามมาก ไม่เพียงเท่านั้น แสงหน้าจอไม่ดูแทบไม่มี สามารถมองโดยไม่รู้สึกว่า มีการสะท้อนมาตกกระทบในตาของเรา ทั้งนี้ เมื่อหน้าจอสัมผัสไม่มีกระจก ผิวสัมผัสของมัน อาจจะแตะแล้วเหมือนหนืด ๆ หรือไม่ลื่นเท่ากระจกนัก ซึ่งเหมือนเวลาเราเอานิ้วไปลูบสติ๊กเกอร์เงาตามป้ายโฆษณานั่นละครับ ซึ่งแน่นอนว่า เครื่องขายจริง Huawei น่าจะทำอะไรบางอย่างกับผิวสัมผัสให้รู้สึกดีเหมือนใช้จอจริงแน่นอน
เร็วไหม กล้องดีไหม ฯลฯ ยังเป็นข้อมูลที่ ดูแล้วเล่าคงไม่ได้ ทั้งนี้ Mate X ยังอยู่ในขั้นการพัฒนา เพราะสเปคหลายจุดยังไม่ยืนยัน รวมถึงกำหนดการขายในประเทศไทย คนทำงาน Huawei ในไทย ใช้คำว่า “ต่อสู้กับจีน” เพื่อให้ได้มาขายให้ได้
ส่งท้าย “คำถามมากมาย น่าจะตอบได้เมื่อออกขายจริง”
พอหมดรอบผม แล้วให้รอบถัดไปมาจับ ผมเดินออกมาหาที่นั่งพิมพ์งานนี้ด้วยความรู้สึก ต่อมความเป็นเด็กอยากได้ของเล่นทำงานอีกครั้ง แต่ทั้งนี้ มันก็ทิ้งคำถามที่ชวนให้ผมคิดแค่สองเรื่องหลัก ๆ ได้แก่ อย่างแรกความทนทานในการใช้งาน ทุกวันนี้มือถือหน้าจอสัมผัสปกติ จะถูก แพง อยู่ในกระเป๋ากางเกง อยู่ในกระเป๋าพก ถือไปใช้งาน พลาดกันแบบไม่น่าแรงมาก ยังพังกันแบบงง ๆ ได้เลย แล้วจอพับที่ไม่มีกระจก แถมเป็นจอหน้าจอหลังแบบนี้ นึกสภาพเวลาใส่เข้ากางเกง กระเป๋าถือ แล้วมีอะไรกดทับขึ้นมาสักจุด จอแตกไหม? บิดเบี้ยวไหม? นี่ยังไม่นับลักษณะการสัมผัสจอของแต่ละคน ที่แตะหนัก เบา ไม่เท่ากัน จากความคุ้นชินที่ใช้งาน จอมีกระจกหน้า กดหน่อย ยังบดเป็นริ้วได้ แล้วไม่มีกระจกคลุมแบบนี้? แถมนี่ยังไม่รวมถึงความทนทานในการพับอีก
อย่างต่อมา ราคาที่แพง ไม่ใช่ปัญหา เพราะมันคือธรรมชาติของเทคโนโลยีออกใหม่ แต่คำถามที่น่าคิดคือ มันออกแบบมาถูกกับพฤติกรรมใช้งานจริงหรือเปล่า หลายเทคโนโลยีที่พยายาม ขยายความสามารถ หรือลดความสามารถเพื่อสร้างตลาดใหม่ ดับไปหลายเรื่องแล้ว และมือถือพับแบบนี้ ทำให้ผมคิดถึงกรณีของ Netbook ที่ตอนสร้างออกมา มันคือแนวคิด ไม่ต้องพก Notebook มาใช้ แต่เล่นเน็ต พิมพ์งาน ดูหนัง แบบประสบการณ์คอมพิวเตอร์ได้ น้ำหนักไม่มาก แต่เอาเข้าจริง เหมือนกลายเป็นเกินตัว เพราะสเปคเครื่องกับระบบปฎิบัติการ ไม่ได้ไปด้วยกัน และก็โดนสิ่งที่เรียกว่า Tablet ที่ใช้ OS เดียวกับ Smartphone กลืนไปแทน
ถ้าเรื่องแรก ผมว่าแบรนด์ระดับนี้ มีปัญญาแก้ให้สมบูรณ์ได้ แต่เรื่องที่สอง มันตอบยากจริง ๆ ผมอาจคิดมากไปก็ได้ แต่ผมก็ไม่กล้าฟันธงไปเหมือนกันว่า ที่เค้าทำมา ถูกต้องกับโลกแน่นอนเช่นกัน
ฉะนั้น ผมขอเก็บความรู้สึกตื่นเต้นตามประสาคนชอบเล่นของไฮเทคไว้ในใจส่วนหนึ่ง และไปรอเป็นผู้ชมว่า โลกตอบรับกับมือถือพับได้ เอ๊ะ หรือเรียกว่า แท็บเล็ตพับได้ดีนะ…
เห็นไหมครับ แค่ตอนนี้ ยังสร้างคำถามที่ยังไม่ได้คำตอบจริงๆ ด้วย….