ลองแล้วเล่า

ลองแล้วเล่า : Tom Clansy’s The Division 2 “หากวอชิงตันฯ ล่มสลาย… มนุษยชาติย่อมสูญสิ้น”

หากพูดถึงแนวคิดเรื่อง “หากสหรัฐอเมริกาล่มสลาย มนุษยชาติย่อมสูญสิ้น” พูดได้เลยว่าในตอนนี้มีให้เราได้ติดตามกันหลากหลายช่องทาง ทั้งนิยาย ภาพยนตร์ หรือแม้แต่เกมที่หยิบเอาแนวคิดนี้มาเล่น ผมเองไม่รู้ว่านี่คือสัญญาณเตือนถึงเหตุการณ์ในอนาคต หรืออาจจะเป็นเพียงเรื่องแต่งเพื่อสร้างความเร้าใจหรือความบันเทิงเพียงแค่นั้น เช่นเดียวกับเกมที่เอามาลองแล้วเล่าให้ฟังในครั้งนี้อย่าง Tom Clancy’s The Division 2 อีกหนึ่งเกมจาก Tom Clancy นักแต่งนิยายแนวทหารและจารกรรมชื่อดังของสหรัฐอเมริกา แม้ซีรีส์นี้จะไม่ได้เขียนด้วยตัว Tom Clancy เอง (The Division: New York Collapse เขียนโดย Alex Irvine ในปี 2016 แต่ Tom Clancy เสียชีวิตเมื่อปี 2013) แต่ใน The Division ก็มีเนื้อหาบางส่วนที่โยงย้อนกลับไปเกม Splinter Cell ซึ่งเป็นเกมดั้งเดิมของ Tom Clancy ด้วยเช่นกัน

The Division ถือเป็นอีกเกมหนึ่งในประวัติศาสตร์ของ Ubisoft ที่มีชื่อเสียในเรื่อง “ของจริงไม่เหมือนกับที่โม้” เอาไว้ค่อนข้างเยอะ โดยเฉพาะช่วงเปิดตัวเมื่อปี 2016 ที่ได้รับเสียงติมากกว่าชม ทั้งเกมเพลย์ที่ยาก ระบบสับสนเข้าใจได้ยาก บั๊กเยอะ แถมยังมีการลดขนาดแผนที่จาก New York ทั้งรัฐ เหลือเพียงแค่ Manhattan เมืองเดียวเท่านั้น เลยทำให้คะแนนรีวิวออกไปทางแง่ลบ และผู้เล่นพากันเลิกเล่นเร็วมากหลังเปิดตัวไปได้ไม่นาน ซึ่งจากปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ Ubisoft หันกลับมาแก้ไขในสิ่งที่ทำพลาดไปจนในที่สุด The Division ก็สามารถแจ้งเกิดเป็นซีรีส์ใหญ่ใหม่ได้อย่างสมบูรณ์หลังอัพเดตแก้ไขไปประมาณ 4 รอบ

มาในวันนี้ Ubisoft ขอแก้มือใหม่อีกครั้งกับภาคต่อที่เกิดขึ้นเพียง 7 เดือนหลังเหตุการณ์ในภาคแรก พ่วงด้วยระบบที่ปรับให้เข้าใจได้ง่ายกว่าเดิม (?) และเกมเพลย์ที่มันส์กว่าเดิม เราลองมาดูกันต่อเลยดีกว่าครับ

จาก New York สู่ฐานที่มั่นสุดท้าย ... "Washington D.C."

เนื้อเรื่องใน The Division 2 ถูกเซ็ตให้เป็นเหตุการณ์ต่อเนื่องจาก The Division 1 หลังจากที่หน่วย Division ล้มเหลวในการปฏิบัติภารกิจยับยั้งการปล่อยเชื้อไวรัส “Green Poison” จนทำให้ New York กลายเป็นแดนร้าง มนุษยชาติที่เหลือรอดก็ต้องรีบถอยห่างออกมาให้ไกลที่สุด จนถึงฐานที่มั่นสุดท้าย “Washington D.C.” ที่ ๆ Green Poison ยังมาไม่ถึง แต่ปัญหาทั้งภายนอกและภายในก็ทำให้รัฐบาลปวดหัวอยู่ไม่น้อยเช่นกัน

ผู้เล่นจะได้รับบทเป็นสมาชิกของหน่วย Strategic Homeland Division (SHD) หรือหน่วย Division ที่อพยพจาก New York มายัง Washington D.C. ด้วยภารกิจใหม่ คือการปกป้องประชาชนที่เหลือรอดในเหตุการณ์ Green Poison จากกลุ่มกบฐทั้งสามคือ Hyenas, True Sons และ Outcasts และกลุ่ม Black Tust หน่วยทหารฝ่ายตรงข้ามที่ต้องการทำลาย Washington D.C. ด้วยไวรัสแบบเดียวกัน รวมถึงยังต้องฟื้นฟูระบบติดต่อสื่อสาร “SHD Network” ไม่ให้ล่มลงจนเป็นอุปสรรค์ในการทำภารกิจต่อ ๆ ไปของหน่วย Division อีกด้วย

สิ่งที่ผู้เล่นจะได้เห็นใน Division 2 คือสภาพของ Washington D.C. ที่เปลี่ยนเป็น “ป่าคอนกรีต” โดยสมบูรณ์ จากการล่มสลายของ New York ที่ทำให้ประชากรทุกคนต้องถอยร่นมายัง Washington D.C. แห่งนี้ แต่ทว่าในป่าคอนกรีตแห่งนี้ยังเต็มไปด้วยปริศนาอันลึกลับ และการรอคอยผู้มาเยือนของกลุ่มกบฐที่หมายมั่นที่จะทำให้ Washington D.C. ล่มสลายไปพร้อม ๆ กัน

ฉะนั้นแล้ว นี่คือชะตาครั้งสุดท้ายของมนุษยชาติ จะอยู่ หรือจะสูญสิ้น ทั้งหมดอยู่ในมือของคุณแล้ว

ระบบเกมเพลย์ที่แม้จะง่ายขึ้น แต่ก็....

เกมเพลย์ของ The Division 2 ก็ยังคงเหมือนกับภาคแรก คือเป็นเกมแนว Tactical Shooting กล่าวคือเป็นเกมเดินหน้ายิงแบบที่ต้องใช้สมองและกลวิธีการเล่นเล็กน้อย จะไม่เหมือนกับเกมแบบเดิม ๆ ที่เน้นการเดินหน้าใส่อย่างเดียว เพราะเกมนี้เราต้องเล่นกับสิ่งของและที่กำบังต่าง ๆ ภายในฉากอย่างต่อเนื่อง ไม่เช่นนั้นก็มีตายกันเป็นว่าเล่น

สิ่งที่ปรับปรุงจาก Division 1 หลัก ๆ เลยคือเรื่องของตัวละครและศัตรู ที่จะมีหลอดเลือด 2 หลอด คือหลอด Armor และเลือดจริง ๆ ของตัวละคร ตามหลักเลือดจะลดในหลอด Armor ก่อนแล้วถึงลดเลือดจริง ๆ ของเรา ยกเว้นศัตรูบางตัวที่สามารถยิงทะลุเกราะได้ ทำให้เลือดเราลดโดยตรง การปรับแบบนี้ยังเป็นการทำให้ผู้เล่นหันไปให้ความสำคัญกับฉากและตัวละครมากขึ้น ซึ่งจะสร้างความตื่นเต้นและความตื่นตัวตลอดเวลา

ในส่วนของอาวุธ เกมนี้มีระบบที่เรียกว่า Evolving System คือผู้เล่นจะเติบโตไปพร้อมกับตัวเกม และเช่นกัน อาวุธที่ได้ก็จะสอดคล้องกับระดับเลเวลของตัวละครและศัตรูในขณะนั้น นั่นหมายความว่าระบบอาวุธเกมนี้ไม่ใช่เป็นแบบตายตัว แต่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามเลเวลที่สูงขึ้นของผู้เล่น และระดับอาวุธที่ผู้เล่นสามารถหาได้

การหาอาวุธต่าง ๆ ภายในเกมนี้ ผู้เล่นสามารถหาได้จากช่องทางหลัก ๆ 4 ทาง คือ

  1. ซื้อได้จาก NPC ขายไอเท็ม ซึ่งจะมีการ Restock ทุก ๆ 6 ชั่วโมง หรือทุกครั้งที่ผู้เล่นเลเวลอัพ
  2. ดรอปเอาจากศัตรู ซึ่งจะมีโอกาสได้ไอเท็มระดับสูงมากกว่า
  3. เปิดกล่องอาวุธและกล่องเสบียงตามสถานที่ต่าง ๆ และภายในจุด Control Point กับ Supply Drop
  4. สร้างเอาเอง โดยการหาพิมพ์เขียวของอาวุธที่ต้องการ คู่กับหาวัตถุดิบสำหรับสร้างไอเท็มชิ้นนั้น ๆ

สิ่งที่ยังคงยืนหยัดมาจากภาคแรกอย่างระบบสกิล ก็ตามมาในภาค 2 เช่นกัน โดยระบบสกิลในภาค 2 ก็เหมือนกับภาคแรก คือมีสกิลให้ใช้ 8 หมวดหมู่ และในแต่ละหมวดหมู่สามารถเลือกสายย่อยได้ถึง 3-4 สาย โดยแรกเริ่มผู้เล่นจะมีสกิลเพียงสกิลเดียว แต่สามารถปลดล็อกเพิ่มได้จากการเล่นไปตามเนื้อเรื่อง ประกอบกับการใช้ SHD Tech ในการปลดล็อกสายย่อยเพิ่มเติมในสกิลที่ปลดไปแล้ว เช่นปลด Turret สาย 1 ออกมาเป็นสกิลตั้งต้น ในระหว่างที่ยังไม่ได้ปลดสกิลที่ 2 เราสามารถใช้ SHD Tech ในการปลดสาย 2 ของ Turret ออกมาเล่นเพิ่มได้นั่นเอง

หลัก ๆ ในส่วนของเกมเพลย์และระบบอาวุธเรียกว่าแทบไม่แตกต่างจากภาคแรกเท่าใดนัก จะมีแต่ทำให้ดีขึ้นเป็นเท่ากอง

ในส่วนของระบบภารกิจ แทบไม่แตกต่างจากภาคแรกเท่าไหร่นัก เพราะตัวเกมถูกออกแบบมาให้เป็นการเล่นแบบ Open World ที่ผู้เล่นสามารถสำรวจรายละเอียดภายในเกมได้อย่างอิสระ เช่นเดียวกัน ในส่วนของภารกิจก็มีให้ทำมากมาย ไม่ว่าจะเป็นภารกิจหลักและภารกิจรองที่เป็นเนื้อเรื่อง การรุกรานและฟื้นฟูรัฐ ล่าค่าหัว และภารกิจชุดของแต่ละโซนเป็นต้น

แต่ละภารกิจ ผู้เล่นจะได้รับมอบหมายให้รุกรานพื้นที่ต่าง ๆ ไล่เก็บไอเท็ม หรือ SHD Tech และทำกิจกรรมร่วมกับ NPC ในเกมตามจุดต่าง ๆ เช่น แย่งชิงพื้นที่ ดินแดน ห้ามการสั่งหารหมู่ หรือแม้แต่ระงับการกระจายเสียงในเชิงลบเป็นต้น ซึ่งเมื่อผู้เล่นทำสำเร็จ จะได้รับของตอบแทนเป็นค่าประสบการณ์จำนวนหนึ่ง พร้อมกับไอเท็ม และการปลดล็อกโหมดล่าค่าหัวเป็นต้น

นอกจากภารกิจหลักที่ตัวเกมมีให้แล้ว ระบบ U Club ของ Ubisoft ก็ยังมีภารกิจให้ทำเป็นรายสัปดาห์อีกด้วน โดยในแต่ละสัปดาห์ ผู้เล่นจะได้รับภารกิจจำนวน 6 ภารกิจ เมื่อทำสำเร็จ ก็จะได้รับเงินจำนวนหนึ่ง และค่าประสบการณ์ในการเติบโตของ U Club Profile ของผู้เล่น เรียกว่าเอาไว้ทำแก้เบื่อได้สบาย ๆ

U Club ยังมีแอปพลิเคชันสำหรับให้การสนับสนุน ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในเกม รวมถึงสามารถแลกของรางวัลพิเศษภายในเกมได้อีกด้วย โดยผู้เล่นที่ดาวน์โหลดแอปฯ U Club มาใช้งานพร้อมผูก ID เอาไว้ จะได้รับสิทธิ์ในการใช้งาน Sam ซึ่งเป็นระบบผู้ช่วยส่วนตัวโดยอัตโนมัติ เมื่อเริ่มเกมในแต่ละวัน Sam จะเตือนให้ทราบพร้อมให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ และภารกิจที่เราควรทำ รวมถึงรวบรวมสถิติต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้มารายงานและประเมินให้ได้รับทราบ และยังให้แนะนำได้อีกด้วยว่าผู้เล่นจะต้องทำอย่างไรต่อไป

อีกทั้ง Sam ยังสามารถให้ความช่วยเหลือเราในกรณีต่าง ๆ ได้ เช่นถ้าเราอยากทราบรายละเอียดเกี่ยวกับการเล่นเกมในช่วงท้ายของเกม เราก็สามารถถามกับ Sam ได้ แล้ว Sam ก็จะหาข้อมูลที่เป็นประโยชน์มาบอกแก่เรา พร้อมทั้งแนะนำการเตรียมความพร้อมในการเล่นเกมช่วงท้ายให้เราได้รับทราบต่อไป

นอกจากผู้ช่วย Sam แล้ว ใน U Club ยังมีระบบภารกิจย่อย และภารกิจ Achievement เอาไว้ให้ได้ทำอีกด้วย โดยเมื่อทำสำเร็จ ผู้เล่นจะได้รับเหรียญ U Credit สำหรับไว้ใช้แลกไอเท็มต่าง ๆ ที่ต้องการ ซึ่งก็ไม่สามารถแลกได้ทั้งหมด เพราะบางไอเท็ม จำเป็นต้องเล่นเกมอื่น ๆ ในค่าย Ubisoft เช่น Assassin’s Creed Odyssey หรือ Ghost Recon Wildlands เพื่อปลดล็อกไอเท็มชิ้นนั้น ๆ มาใช้งานนั่นเอง

Always-Evolving ... เมื่อเกมจบไม่ใช่แค่โยนแผ่นทิ้งอีกต่อไป

ในอดีตตามธรรมเนียมเกมกล่องทั่ว ๆ ไป เมื่อจบเกมแล้วก็คือจบ โยนแผ่นทิ้งขึ้นหิ้ง หรือเก็บไอเท็มปลดล็อก Achievement ที่เหลืออะไรทำนองนี้ แต่ธรรมเนียมนี้จะไม่ใช่สำหรับ The Division 2 เพราะเกมจบของเกมนี้ คือจบเพียงแค่เนื้อเรื่องช่วงแรกของเกมเท่านั้น เพราะเมื่อเนื้อเรื่องหลักจบลง จะมีเนื้อเรื่องใหม่ ๆ ตามมาในทันที ด้วยเหตุการณ์ “ยึดเมืองไม่ทันตั้งตัวของกลุ่ม Black Tusk”

เมื่อเป็นเช่นนี้ สิ่งที่ผู้เล่นต้องทำคือการยึดเมืองกลับมา แต่ก็ไม่ใช่ว่ายึดได้แล้วคือจบ เพราะฝั่งนั้นก็มีสิทธิ์ยึดกลับเช่นกัน เรียกว่าเมื่อเกมจบ แต่ความมันส์ยังไม่จบจริง ๆ ยังมีอะไรให้ผู้เล่นได้ทำอีกมากมายชนิดที่ว่า ไม่ให้ได้พักกันเลยทีเดียว

สิ่งที่เพิ่มเข้ามาอีกอย่างนอกจาก Invasions Mission แล้ว คือระบบ Specialization หรือทักษะพิเศษของตัวละคร เมื่อผู้เล่นเล่นถึงเลเวล 30 และทำภารกิจที่เกี่ยวข้องครบแล้ว ผู้เล่นจะสามารถเลือก Specialization ตามความถนัดของตัวเองได้ และเมื่อเลือกแล้วจะได้รับไอเท็มพิเศษที่เรียกว่า Signature Weapon 1 ชิ้น การเติบโตของ Signature Weapon คือต้องเก็บเลเวลต่อไป และทำภารกิจต่อไปเรื่อย ๆ เพื่อเก็บค่า Cost Upgrade มาใช้ในการอัพเกรดอาวุธชิ้นนี้

และ The Division 2 จะไม่ได้จบเพียงเท่านี้ เพราะ Ubisoft เองได้ประกาศแผนอัพเดตตัวเกมอย่างต่อเนื่องออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งภารกิจใหม่ ๆ เนื้อหาใหม่ ๆ โหมดใหม่ ๆ รวมถึงสกิลและอาวุธใหม่ ๆ เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดผู้เล่นสามารถเล่นได้ฟรีตลอดปีนี้ โดยที่ไม่ต้องซื้อ DLC ให้เปลืองเงินอะไรทั้งสิ้น

สรุป "นี่คือเกมดีที่คนชอบแนวนี้ควรมีติดไว้"

ต้องสารภาพตามตรงว่าเอาจริง ๆ ผมเองก็ไม่ได้สนใจเกมนี้สักเท่าไหร่นัก เพราะไม่ได้เล่นภาคแรกมา มาเล่นภาคนี้ก็คงตามเนื้อเรื่องไม่ทัน แต่ก็ต้องขอบคุณบูธน้องหมี Tommy ที่ centralwOrld ที่ทำให้เปลี่ยนใจได้ และการเปลี่ยนใจก็ไม่ผิดหวังจริง ๆ เพราะเกมนี้สามารถทำได้ดี และดีกว่าที่คาดไว้มากพอสมควร อย่างที่กล่าวไว้ในตอนต้นว่า The Division ภาคแรก เคยเป็นหนึ่งในผลงานยอดแย่ของ Ubisoft มาก่อน และการมีภาคต่อนั่นหมายความว่า Ubisoft ต้องมั่นใจจริง ๆ ว่าเกมจะสามารถกู้สถานการณ์ที่ไม่ค่อยสู้ดีตอนเปิดตัวซีรีส์ให้กลับมาได้ ไม่เช่นนั้นก็ตอกฝาโลงลาเกมนี้ได้เลย ซึ่งทั้งหมดนี้ผมก็คิดผิดไม่แพ้คนอื่น ๆ ที่ได้สัมผัสมาแล้ว และยอมรับว่า โอเค นี่คือผลงานกู้ชีพ Ubisoft จริง ๆ เกมสามารถกลับมารักษามาตรฐานเดิมของ Ubisoft ได้อย่างครบถ้วน

คงต้องขอบคุณทาง Massive Entertainment ที่นำข้อติใน The Division ภาคแรกกลับไปปรับปรุงจนกลายเป็นเกมภาคต่อตัวนี้ และเชื่อได้เลยว่าต่อ ๆ ไป Ubisoft และ Massive Entertainment ก็จะยังคงรักษามาตรฐานนี้เอาไว้อย่างครบถ้วน และก่อให้เกิดภาคต่อ ๆ ไปในอนาคตเช่นกัน

ถ้าจะถามว่าควรซื้อหรือไม่ บอกเลยว่าถ้าเป็นคนชอบแนวทหาร แนวยิงกันอยู่แล้ว ควรซื้อติดไว้อย่างยิ่งเลยล่ะครับ เพราะอย่างที่บอกไปว่าตัวเกมไม่ได้จบแล้วจบเลย แต่ยังมีภารกิจใหม่ ๆ ให้ทำอย่างต่อเนื่องตามโร้ดแมพที่ประกาศไว้ นั่นหมายความว่าสามารถเล่นต่อได้แบบยาว ๆ และยิ่งเป็นช่วงที่กำลังจะเปลี่ยน Gen ก็ยิ่งควรค่าที่จะเก็บไว้ และเมื่อค่อนข้างเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า Gen ใหม่จะสามารถเล่นเกม Gen นี้ได้ เกมนี้ก็ยิ่งควรค่าแก่การเก็บสะสมไว้เช่นกัน

สำหรับใครที่อ่านมาถึงจุดนี้แล้วสนใจ สามารถหาซื้อ The Division 2 ได้แล้ววันนี้ ที่ PlayStation Store และตัวแทนจำหน่าย PlayStation ทุกแห่ง และที่ Ubisoft Store กับ Epic Games Store สำหรับบน PC คร้บ

คณะแกดกวน #teamgadguan

อริญชย์ ชวะโนทัย (iBehemortHz)

เด็ก ป.โท ผู้สนใจในโลกดิจิทัลและสังคม และคอยเฝ้ามองการเปลี่ยนแปลงผ่านสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ที่ชื่อว่า "หน้าจอ" :)