ลองแล้วเล่า

ลอง(นิดหน่อย)แล้วเล่า : Samsung Galaxy Note 10+ “ไม่มีอะไรใหม่ แต่ใช่เลย….!”

เผลอแปปเดียว… แปปเดียวจริง ๆ จากที่เราได้เคยลอง(นิดหน่อย)แล้วเล่า Galaxy Note 9 ไปเมื่อปีที่แล้ว วันนี้ Samsung เปิดตัวทายาทรุ่นใหม่อย่าง Galaxy Note 10 ออกมาแล้ว แต่รอบนี้ไม่ได้มาแค่หนึ่ง เพราะพี่ท่านออกลูกหลานมาถึง 2 รุ่น 2 ขนาดที่จับต้องได้นั่นคือ Galaxy Note 10 และ Galaxy Note 10+ นั่นเอง

เพิ่งเปิดตัวกันหมาด ๆ ตอนตีสาม วันนี้ทีมงานเราได้ไปลองตัวจริงกันมาครับ และก็ไม่ลองคนเดียว… แต่จะเอามาเล่าให้ฟังคร่าว ๆ ว่าความเปลี่ยนแปลงจาก Note 8 และ Note 9 นั้นมีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปกันบ้าง

ขนาดที่จับถนัดมือกว่าเดิม

ใครที่ได้อ่านหน้าสเปคของ Galaxy Note 10 ตามเว็บต่าง ๆ แล้วคงจะนึกภาพไม่ออกว่า Galaxy Note 10 นั้นใหญ่ขนาดไหน จับแล้วถนัดหรือกระชับมือกว่าเดิมหรือไม่ วันนี้เรามีคำตอบคร่าว ๆ แบบสั้น ๆ ครับว่า สัดส่วนของ Note 10 และ Note 10+ “แทบไม่ต่างจาก S10 และ S10+ เลย” เผลอ ๆ “เล็กกว่า Note 9” ด้วยซ้ำ

ซ้ายคือ S10+ ขวาคือ Note 10+

ในแง่สัดส่วน Galaxy Note 10+ มีขนาดที่พอๆ กับ S10+ แต่ใหญ่กว่าและมุมขอบเหลี่ยมกว่าเล็กน้อย ผลคือ Note 10+ มีขนาดที่สามารถถือได้ง่าย และค่อนข้างกระชับมือ ในขณะเดียวกัน Note 10 ตัวธรรมดา ก็มีขนาดที่เล็กลง ใหญ่กว่า S10 ธรรมดาแค่เล็กน้อยเท่านั้น นอกเหนือจากนั้น แทบจะไม่มีอะไรต่างกันเลยระหว่าง S10 และ Note 10

ถ้าจะถามว่าทำไมรอบนี้ Samsung แยก Note 10 ออกเป็นสองรุ่น คือ Note 10 และ Note 10+ คำตอบก็คือ Samsung สำรวจมาแล้วว่า ลูกค้ากลุ่มที่ไม่ซื้อ Note หรือเกลียด Note เข้าไส้ส่วนใหญ่เป็นเพราะไม่ชอบขนาดของ Note ที่มีขนาดใหญ่เทอะทะกว่าสมาร์ทโฟนทั่ว ๆ ไป นั่นจึงทำให้ Samsung ตัดสินใจหดขนาดหน้าจอลงจาก 6.4 เหลือ 6.3 นิ้ว เพื่อขายเป็นรุ่นเล็กสำหรับลูกค้าที่ชอบมือถือขนาดกำลังพอเหมาะ ไม่ใหญ่จนเกินไป ส่วนลูกค้ากลุ่ม Poweruser ที่เป็นกลุ่มลูกค้าเดิมของ Note ก็จะผลักให้ไปซื้อรุ่นใหญ่คือ Note 10+ แทน ด้วยขนาดหน้าจอที่ใหญ่มากขึ้น และฟีเจอร์ที่อัดแน่นกว่าตัวเล็กแค่ไม่กี่จุดเท่านั้น

ส่วนที่ต่างกันระหว่างสองรุ่นมีอยู่ด้วยกัน 5 ข้อ คือ

  1. ขนาดหน้าจอและความละเอียดหน้าจอ : Note 10 มีหน้าจอใหญ่ 6.3 นิ้ว ความละเอียด Full HD+ ในขณะที่ Note 10+ มีหน้าจอใหญ่ 6.5 นิ้ว ความละเอียด Quad HD+
  2. กล้องหลัก ที่ Note 10+ จะมีกล้อง DepthVision Camera เพิ่ม แต่ Note 10 ไม่มี
  3. ความสามารถในการรองรับ microSD Card ที่สล็อตที่ 2 ซึ่ง Note 10 ไม่รองรับ
  4. แรม : Note 10 ให้แรม 8 GB ในขณะที่ Note 10+ ให้แรม 12GB
  5. แบตเตอรี่ : Note 10 มีแบต 3500 mAh ในขณะที่ Note 10+ มีแบต 4500 mAh

ฉะนั้น ด้วยความสามารถและสเปคที่ต่างกัน 5 ข้อนี้ Samsung คิดว่าน่าจะช่วยให้ลูกค้าเลือกได้ง่ายขึ้นว่าอยากได้รุ่นไหนมากกว่ากัน

นอกนั้นทุกอย่างก็ยังเหมือน S10 แม้กระทั่งระบบรักษาความปลอดภัยที่แม้แต่เจ้าของเครื่องก็ปลดไม่ได้อย่าง UltraSonic Fingerprint Reader ที่รอบนี้ Samsung เลือกแก้ปัญหาด้วยการขยับระยะเซ็นเซอร์ให้ขึ้นมาชิดตัวจอมากขึ้น ปลดได้ง่ายขึ้น ซึ่งก็จริงตามที่กล่าวไว้ เพราะตัวอ่านลายนิ้วมือเสถียรขึ้นมาก มีเหงื่อเล็กน้อยก็ยังปลดได้ ไม่เหมือนกับ S10 ที่ขนาดมือแห้งก็ยังปลดกันไม่ได้ จน Samsung ต้องออกซอฟต์แวร์แก้ไขแล้วแก้ไขอีกจนปัจจุบันก็เรียกว่าพอทนได้ แต่ก็ไม่น่าพอใจเท่าตอนที่ได้ลอง Note 10

อีกขั้นที่เหนือกว่าของ Cinematic Infinity Display

หน้าจอของ Galaxy Note 10+ เป็นแบบ Dynamic AMOLED พร้อมขอบ Edge สองข้างเหมือนเดิม บนขนาดที่ใหญ่ขึ้นถึง 6.8 นิ้ว (ถ้าเป็น Note 10 ตัวธรรมดา หน้าจอหดลงเหลือ 6.3 นิ้ว) ทั้งหมดนี้ มาในธีมการออกแบบ Cinematic Infinity Display หรือ Infinity-O เหมือนตัวก่อนหน้านี้อย่าง Galaxy S10 แต่ที่แตกต่างจาก S10 คือการย้ายเอากล้องหน้าด้านบนจอ มาอยู่ตรงกลางหน้าจอ และไม่มีขอบดำลากลงมาเป็นติ่งหน้าจอ และเพื่อให้กล้องด้านหน้าดูกินพื้นที่น้อยที่สุด Samsung จัดการลบขอบดำรอบกล้องออกไปด้วย

ผลที่ได้คือหน้าจอของ Note 10+ จึงเป็นหน้าจอที่มีพื้นที่แสดงผลต่อตัวเครื่องที่สูงมากถึง 90.7% จากที่ได้ลองชมละคร / ซีรีส์ / MV (พร้อมเต้น Kill This Love เอ้ย ไม่ใช่ ฮาาา) และดูหนังมาบ้างแล้ว หน้าจอนี้ยังคงให้รายละเอียดแสงสีและความเที่ยงตรงของคอนทราสต์และอุณหภูมิสีเท่ากับ Galaxy S10 อย่างไม่ผิดเพี้ยน

และต้องขอบคุณที่มันยังเป็น Dynamic AMOLED เพราะเวลาใช้ไปนาน ๆ ไม่เกิดอาการล้าสายตาจากแสงสีฟ้าที่เป็นอันตราย และต่อให้เปิด Night Mode หน้าจอก็ไม่อมเหลืองมาก เพราะทุนเดิมของ Dynamic AMOLED คือสามารถตัดแสงสีฟ้าออกไปได้เยอะอยู่แล้ว ฉะนั้นฟีเจอร์เรื่องหน้าจอจึงเรียกได้ว่า แทบจะยก S10 มาทั้งดุ้นเลยก็ว่าได้

ตอนเห็นจากรูปหลุด บอกตรง ๆ ว่าเหมือนไฝตรงกลางหน้าผากของนักแสดงตลกท่านหนึ่ง แต่พออยู่ด้วยกันตรงหน้าจริง ผมกลับเริ่มชอบมากกว่าหน้าจอ Infinity-O Display แบบ Galaxy S10 มากกว่า การลบแค่ขอบสีดำที่ล้อมรอบกล้องถ่ายรูปออก ไม่น่าเชื่อว่าจะเปลี่ยนอารมณ์การใช้งานได้มาก ดูไม่รบกวนตามากเท่าที่คิด อันที่จริงรู้สึกเต็มตามากกว่าของ Galaxy S10 ด้วยซ้ำ ฉะนั้นแล้ว ถ้ามือถือฝั่ง Android ที่ใช้งานออกแบบติ่งแบบหยดน้ำ ลองลบติ่งออก และลบขอบดำรอบกล้องถ่ายรูปออก ก็ไม่เลวเหมือนกันนะครับ

กล้อง Pro Grade Camera ที่ทำได้มากกว่าถ่ายรูปเล่น

ในงานเปิดตัววันนี้ ได้ลองความสามารถใหม่ ๆ หลายอย่าง อาทิ AR Doodle ซึ่งคือการวาดตกแต่งใบหน้า วัตถุ โดยสิ่งที่เราวาด สามารถติดตามไปกับหน้าหรือวัตถุที่เราวาดใส่ ต่อให้เป็นหน้าอื่น หรือวัตถุอื่นเข้ามาแทรก สิ่งที่เราวาดไป ก็ไม่ปรากฎขึ้นมาบนหน้าหรือวัถตุอื่น เอาตรง ๆ เป็นฟีเจอร์ถ่ายวีดีโอที่เล่นแล้วสนุกมาก คิดว่าพอจะแจ้งเกิดกับเหล่าคนดังบนโลกออนไลน์ หรือเอาไว้เล่นกับเพื่อน แฟน ครอบครัว ก็ได้อะไรที่สนุกแน่นอน ทั้งนี้ การเคลื่อนไหว แสดงผลสิ่งที่วาดบนวัตถุ ต้องปรับให้เป็นธรรมชาติกว่านี้สักหน่อย ซึ่งซอฟท์แวร์อัปเดตถัด ๆ ไป น่าจะช่วยให้ลื่นไหลกว่านี้ได้แน่นอน
ฟีเจอร์ตัวที่สองที่ได้ลองคือ Zoom-in Mic ที่ฟังตอนแรกก็นึกภาพไม่ออกว่าจะมีประโยชน์ตรงไหน Zoom-in Mic คือการเพิ่มเสียงของ Object ขณะซูมเข้าเมื่อกำลังถ่ายวิดีโอ ซึ่งในการใช้งานจริง เหมาะมากกับการรับรู้รายละเอียดของสิ่งที่เรากำลังถ่าย และซูมเข้าไปให้ใกล้ขึ้น ว่าเสียงพูดหรือเสียงที่มาจากตรงนั้นคืออะไร โดยการเร่งเสียงหลังจากถ่ายซูมเข้าไป ถือว่าทำได้คมชัด ไมได้เร่งจนแตกหรือพยายามเร่ง ถือเป็นฟีเจอร์หนึ่งที่น่าจะได้ใช้งานจริง

และอีกความสามารถของกล้องวีดีโอที่เพิ่มเข้ามาคือ Live Focus Video เราคุ้นเคยกับฟีเจอร์ Live Focus เมื่อครั้ง Note 8 เปิดตัวกันมาแล้ว ที่เราสามารถปรับความชัดลึกชัดตื้นของภาพ Portrait ได้ ครั้งนี้ Samsung ได้ยกเอาฟีเจอร์นี้มาใส่ให้ใช้งานบนการถ่ายวิดีโอด้วย นั่นหมายความว่าเราจะสามารถจัดการกับองค์ประกอบวัตถุภายในซีนได้ดีขึ้น และสามารถเบลอหลังวัตถุได้ตามที่ต้องการ ซึ่งฟีเจอร์นี้ต้องขอบคุณกล้อง DepthVision Camera อีกหนึ่งกล้องพิเศษที่ Samsung ใส่มาให้ใน Note 10+ (เท่านั้นด้วย) กล้องนี้เดิมทีเราคุ้นเคยกันในชื่อ ToF (Time-of-Field) มาก่อนแล้ว เพราะใน P30 Pro มีให้ใช้นั่นเอง คงไม่ต้องอธิบายมากว่า DepthVision หรือ ToF มีไว้ทำอะไรต่อนะครับ ฮา~

ส่วนการถ่ายภาพทั่ว ๆ ไป เรียกว่าไม่ต่างจาก S10+ มากนัก เพราะโมดูลกล้องหลักแทบไม่ต่างจาก S10+ นั่นคือ กล้องสามตัวอันได้แก่ Ultra Wide/Wide และ Telephoto ตามธรรมเนียม มี Scene Optimizer สำหรับปรับฉากหลังอัตโนมัติ และมี Best Shot สำหรับแนะนำช็อตภาพที่ดีที่สุดเวลาถ่ายภาพ ดังนั้นการถ่ายภาพจึงไม่ต่างจาก S10+ เลยแม้แต่น้อย

เจ้าไม้วิเศษ จงเลื่อนเนื้อหาให้ข้าเถิด~

ของเด็ดประจำตระกูลอย่าง S Pen ใน Galaxy Note 10+ รอบนี้ ไม่น่าจะทำมาจากโรงงานทั่ว ๆ ไป แต่น่าจะทำมาจากร้านโอลิแวนเดอร์ เพราะมันรองรับ Gesture แบบโบกเหมือนใช้ไม้กายสิทธิ์ใน Harry Potter ยังไงยังงั้นเลย เนื่องมาจากสิ่งที่ S Pen ถูกปรับปรุงจาก Note 9 คือการเพิ่มเซ็นเซอร์จับความเคลื่อนไหวแบบ 6 แกน ทั้ง Accelerometer และ Gyroscope นั่นจึงทำให้ S Pen ของ Note 10 และ Note 10+ รองรับการสั่งการตัวเครื่องที่มากกว่าการเป็น Clicker แบบธรรมดา ซึ่ง Samsung เรียกฟีเจอร์นี้ว่า Air Action โดยการใช้งานหลัก ๆ มีดังนี้

  • กดปุ่มบนรีโมท>โบกขึ้นแนวตั้ง แล้วปล่อยปุ่มบนรีโมทหลังโบก จะเป็นการสลับกล้องหน้าไปกล้องหลัง หรือเลื่อนเนื้อหาขึ้นลง
  • กดปุ่มบนรีโมท>โบกแนวนอนจากซ้ายไปขวา หรือขวาไปซ้าย แล้วปล่อยปุ่มบนรีโมทหลังโบก จะเป็นการสลับโหมดของกล้องถ่ายรูป หรือเลื่อนเนื้อหาไปทางซ้าย-ขวา
  • กดปุ่มบนรีโมท> หมุนข้อมือตามเข็มนาฬิกาหนึ่งที โดยหลังหมุนข้อมือครบรอบ อย่าพึ่งปล่อยปุ่ม จะเป็นการซูมเข้าของกล้องถ่ายรูป เมื่อได้ระยะซูมที่พอใจแล้ว ค่อยปล่อยปุ่มรีโมท และถ้าทำแบบเดียวกัน แต่เป็นการหมุนทวนเข็มนาฬิกา จะเป็นการซูมออกของกล้องถ่ายรูปเช่นกัน

เอาจริง ๆ เป็นความสามารถที่ชอบมาก ใช้จริงได้ดีน่าสนใจมาก รู้สึกดีกับการช่วยให้ทุกอย่างง่ายขึ้นกับการถ่ายรูป หรือการเลื่อนหาเนื้อหา แต่ต้องใช้ความคุ้นเคยในการใช้งานสักพัก ซึ่งถ้าเข้าใจ เข้ามือ จะถูกใจกับการโบก S-Pen แบบนี้จริง ๆ นอกนั้นแล้ว ปรับแค่ความไวในการตอบสนองให้แม่นยำ ก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว

ต้องบอกว่าเป็นโชคดีของนักพัฒนาด้วยที่ Samsung เปิดฟีเจอร์นี้ให้นำไปพัฒนากันต่อในแอปพลิเคชันของตน ฉะนั้นฟีเจอร์นี้น่าจะเป็นฟีเจอร์ชูโรงของ Galaxy Note 10 และน่าจะมีแอปพลิเคชันออกมารองรับเพิ่มมากขึ้นในอนาคตแน่นอน

ทำงานง่ายกว่า... ด้วย DeX แบบใหม่

อีกฟีเจอร์ที่ไม่เล่าไม่ได้ นั่นคือ Samsung DeX ผมเชื่อว่าเราน่าจะคุ้นเคยกับ Samsung DeX กันมาพอประมาณแล้วล่ะ จากเดิมใน S8 ที่ต้องใช้ Docking และอุปกรณ์แยก สู่การตัดคียบอร์ดและเมาส์ออกใน Note 9 และเหลือเพียง HDMI Dongle ใน S10 ล่าสุดใน Note 10 และ Note 10+ DeX ปรับใหม่อีกครั้ง เหลือเพียงแค่สาย USB เส้นเดียวเท่านั้น ก็สามารถเรียกใช้ Samsung DeX ได้ทันทีเมื่อต่อกับ PC หรือ Mac ที่ติดตั้ง Samsung DeX เอาไว้แล้ว

นอกจาก DeX ปรับปรุงใหม่แล้ว ใน Galaxy Note 10+ ยังมีความสามารถ Link to Windows ซึ่งเป็นฟีเจอร์ใหม่ของ Windows 10 เวอร์ชัน 1903 เมื่อต้นปี ความสามารถของฟีเจอร์นี้คือการจำลองสถานการณ์ Continutity ของ macOS ขึ้นมาอยู่บน Windows 10 โดยใช้สมาร์ทโฟน Android ฉะนั้นเมื่อเรานำ Galaxy Note 10 และ Note 10+ มาต่อเข้ากับ PC และตั้งค่า Link to Windows ให้เรียบร้อย เราก็จะสามารถดูและเรียกใช้รูปภาพล่าสุด 25 รูป, เรียก Notificaiton ของโทรศัพท์ขึ้นไปแสดงผลบน Windows และสามารถรับสายผ่านคอมพิวเตอร์ได้เลยโดยไม่ต้องไปยกหูโทรศัพท์อีกต่อไป

สรุปแบบนั้น ๆ ก็เรียกได้ว่าฟีเจอร์นี้ทำมาเพื่อฆาตกรรมฟีเจอร์ SideSync ลงอย่างชัดเจน เพราะในเมื่อแอปส่วนใหญ่ทำงานแบบ DeX ได้ + ฟีเจอร์ Link to Windows ที่สามารถโยน Notification ขึ้นไปแสดงบน Windows แทนได้ ก็แทบไม่มีความจำเป็นที่ต้องใช้ SideSync ในการทำงานอีกต่อไป

สรุป

สักพักใหญ่ ๆ แล้ว ที่ Samsung ทำ Smartphone สักรุ่นออกมา แล้วต้องมีเครื่องหมายคำถามแบบ งง ๆ ว่า ที่ทำมามันไปทางไหน? อย่างไรกันแน่? แต่กับ Galaxy Note 10 ความหวังเล็ก ๆ ที่จะได้ทุกสิ่งที่เข้าที่เข้าทาง และเป็นทิศทางที่ทำให้ Smartphone ของ Samsung กลับมาแข่งขันได้อีกครั้ง ดูจะเป็นไปได้จริง ๆ

งานออกแบบที่ลงตัวขึ้น ใช้งานได้ดีถนัดมือขึ้น ออกรุ่นเล็กเอาใจคนชอบพก แต่ไม่ตัดจุดใหญ่ ๆ จนไม่น่าซื้อ เน้นความสามารถที่เติมเต็มให้ใช้ได้เข้าที่มากขึ้น บางที มือถือรุ่นใหม่สักเครื่อง สิ่งที่ดีที่สุด คือการได้ใช้สิ่งใหม่ที่ผู้ผลิตใส่มา แล้วทำให้เราได้ใช้ทุกวันจริง ๆ มากกว่าสิ่งที่ใส่ แค่เล่นโชว์เพื่อนได้ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ใช้

บางที วลีที่ตอนต้นปีชาวเน็ตแซวตอนเปิดตัว Galaxy S10 ไว้ว่า “รอ Galaxy Note 10 เลยละกัน” ท่าจะคุ้มค่ากับการรอคอยจริง ๆ

หวังว่าจะได้เขียนตอนเล่นแบบเต็ม ๆ จบให้อ่านนะครับ : )

ขายของเล็กน้อย...

อ่านมาจนถึงตรงนี้ก็ขายตรงกันเล็กน้อยก็แล้วกันนะครับ ~

สำหรับประเทศไทย Samsung จะนำ Galaxy Note 10 เข้ามาขายแค่รุ่น 4G เท่านั้น มาครบทั้ง Note 10 และ Note 10+ โดย

  • Note 10 จะมีวางจำหน่ายที่ความจุ 256 GB ในราคา 32,900 บาท และมีราคาพิเศษกับผู้ให้บริการเครือข่ายที่ราคาเริ่มต้น 15,900 บาท โดยมีให้เลือก 3 สี คือ Aura White/Aura Black และ Aura Pink
  • Note 10+ จะมีวางจำหน่าย 3 สี คือ Aura Glow/Aura Black และ Aura White และมีรุ่นแยกสองความจุดังนี้
    • 256 GB วางจำหน่ายที่ราคา 37,900 บาท และมีราคาพิเศษกับผู้ให้บริการเครือข่ายที่ราคาเริ่มต้น 20,900 บาท
    • 512 GB วางจำหน่ายที่ราคา 40,900 บาท และมีราคาพิเศษกับผู้ให้บริการเครือข่ายที่ราคาเริ่มต้น 23,900 บาท

และพิเศษกับช่วงเปิดตัว เมื่อจอง Samsung Galaxy Note 10 ที่ร้านค้าที่ร่วมรายการ รวมถึงกลุ่ม Blind Booking ที่จองเครื่องล่วงหน้าและกำหนดรับเครื่องที่ centralwOrld ในวันที่ 16 สิงหาคมนี้ และลูกค้าที่จองเครื่องเปล่าในราคาปกติที่ผู้ให้บริการเครือข่าย รับของแถมช่วง Pre-Booking ดังนี้

  • Note 10 รับฟรีทันที Galaxy Buds มูลค่า 4,990 บาท พร้อมรับประกันหน้าจอแตกฟรี 1 ปี
  • Note 10+ รับสิทธิ์อัพเกรดเป็นรุ่น 512 GB ในราคารุ่น 256 GB พร้อมรับประกันหน้าจอแตกฟรี 1 ปี

และพิเศษยิ่งกว่ากับลูกค้า AIS Serenade (Gold/Platinum) / dtac reward member (Gold Member/Blue Member) และ True BlackCard รับฟรีทันทีกับบริการหลังการขายสุดพิเศษ “Galaxy Butler X” เมื่อซื้อเครื่อง Galaxy Note 10 กับผู้ให้บริการและสมัครแพ็คเกจหรือมีเงื่อนไขตามที่แต่ละผู้ให้บริการกำหนด รับบัตรสมาชิก Galaxy Butler X ทันที เพื่อใช้สำหรับบริการหลังการขายสุดพิเศษที่คิดค้นขึ้นเพื่อลูกค้าระดับพรีเมียมเท่านั้น อาทิ บริการรับส่งเครื่องซ่อมถึงที่บ้านหรือที่ทำงาน พร้อมอุปกรณ์สำรองฟรีตลอดระยะเวลาการซ่อม ความคุ้มครองหน้าจอในกรณีหน้าจอแตกและ/หรือได้รับความเสียหายจากรอยขีดข่วน ส่วนลดค่าแรงและค่าอะไหล่สูงสุด 50% สำหรับค่าอะไหล่ที่อยู่นอกเหนือจากเงื่อนไขการรับประกัน ตลอดอายุการรับประกันตัวเครื่องทันที

โปรโมชันดี ๆ แบบนี้มีถึง 23 สิงหาคมนี้เท่านั้นครับ ~

คณะแกดกวน #teamgadguan

อริญชย์ ชวะโนทัย (iBehemortHz)

เด็ก ป.โท ผู้สนใจในโลกดิจิทัลและสังคม และคอยเฝ้ามองการเปลี่ยนแปลงผ่านสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ที่ชื่อว่า "หน้าจอ" :)