เผลอแปปเดียว… แปปเดียวจริง ๆ จากที่เราได้เคยลอง(นิดหน่อย)แล้วเล่า Galaxy Note 9 ไปเมื่อปีที่แล้ว วันนี้ Samsung เปิดตัวทายาทรุ่นใหม่อย่าง Galaxy Note 10 ออกมาแล้ว แต่รอบนี้ไม่ได้มาแค่หนึ่ง เพราะพี่ท่านออกลูกหลานมาถึง 2 รุ่น 2 ขนาดที่จับต้องได้นั่นคือ Galaxy Note 10 และ Galaxy Note 10+ นั่นเอง
เพิ่งเปิดตัวกันหมาด ๆ ตอนตีสาม วันนี้ทีมงานเราได้ไปลองตัวจริงกันมาครับ และก็ไม่ลองคนเดียว… แต่จะเอามาเล่าให้ฟังคร่าว ๆ ว่าความเปลี่ยนแปลงจาก Note 8 และ Note 9 นั้นมีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปกันบ้าง
ขนาดที่จับถนัดมือกว่าเดิม
ใครที่ได้อ่านหน้าสเปคของ Galaxy Note 10 ตามเว็บต่าง ๆ แล้วคงจะนึกภาพไม่ออกว่า Galaxy Note 10 นั้นใหญ่ขนาดไหน จับแล้วถนัดหรือกระชับมือกว่าเดิมหรือไม่ วันนี้เรามีคำตอบคร่าว ๆ แบบสั้น ๆ ครับว่า สัดส่วนของ Note 10 และ Note 10+ “แทบไม่ต่างจาก S10 และ S10+ เลย” เผลอ ๆ “เล็กกว่า Note 9” ด้วยซ้ำ
ในแง่สัดส่วน Galaxy Note 10+ มีขนาดที่พอๆ กับ S10+ แต่ใหญ่กว่าและมุมขอบเหลี่ยมกว่าเล็กน้อย ผลคือ Note 10+ มีขนาดที่สามารถถือได้ง่าย และค่อนข้างกระชับมือ ในขณะเดียวกัน Note 10 ตัวธรรมดา ก็มีขนาดที่เล็กลง ใหญ่กว่า S10 ธรรมดาแค่เล็กน้อยเท่านั้น นอกเหนือจากนั้น แทบจะไม่มีอะไรต่างกันเลยระหว่าง S10 และ Note 10
ถ้าจะถามว่าทำไมรอบนี้ Samsung แยก Note 10 ออกเป็นสองรุ่น คือ Note 10 และ Note 10+ คำตอบก็คือ Samsung สำรวจมาแล้วว่า ลูกค้ากลุ่มที่ไม่ซื้อ Note หรือเกลียด Note เข้าไส้ส่วนใหญ่เป็นเพราะไม่ชอบขนาดของ Note ที่มีขนาดใหญ่เทอะทะกว่าสมาร์ทโฟนทั่ว ๆ ไป นั่นจึงทำให้ Samsung ตัดสินใจหดขนาดหน้าจอลงจาก 6.4 เหลือ 6.3 นิ้ว เพื่อขายเป็นรุ่นเล็กสำหรับลูกค้าที่ชอบมือถือขนาดกำลังพอเหมาะ ไม่ใหญ่จนเกินไป ส่วนลูกค้ากลุ่ม Poweruser ที่เป็นกลุ่มลูกค้าเดิมของ Note ก็จะผลักให้ไปซื้อรุ่นใหญ่คือ Note 10+ แทน ด้วยขนาดหน้าจอที่ใหญ่มากขึ้น และฟีเจอร์ที่อัดแน่นกว่าตัวเล็กแค่ไม่กี่จุดเท่านั้น
ส่วนที่ต่างกันระหว่างสองรุ่นมีอยู่ด้วยกัน 5 ข้อ คือ
- ขนาดหน้าจอและความละเอียดหน้าจอ : Note 10 มีหน้าจอใหญ่ 6.3 นิ้ว ความละเอียด Full HD+ ในขณะที่ Note 10+ มีหน้าจอใหญ่ 6.5 นิ้ว ความละเอียด Quad HD+
- กล้องหลัก ที่ Note 10+ จะมีกล้อง DepthVision Camera เพิ่ม แต่ Note 10 ไม่มี
- ความสามารถในการรองรับ microSD Card ที่สล็อตที่ 2 ซึ่ง Note 10 ไม่รองรับ
- แรม : Note 10 ให้แรม 8 GB ในขณะที่ Note 10+ ให้แรม 12GB
- แบตเตอรี่ : Note 10 มีแบต 3500 mAh ในขณะที่ Note 10+ มีแบต 4500 mAh
ฉะนั้น ด้วยความสามารถและสเปคที่ต่างกัน 5 ข้อนี้ Samsung คิดว่าน่าจะช่วยให้ลูกค้าเลือกได้ง่ายขึ้นว่าอยากได้รุ่นไหนมากกว่ากัน
นอกนั้นทุกอย่างก็ยังเหมือน S10 แม้กระทั่งระบบรักษาความปลอดภัยที่แม้แต่เจ้าของเครื่องก็ปลดไม่ได้อย่าง UltraSonic Fingerprint Reader ที่รอบนี้ Samsung เลือกแก้ปัญหาด้วยการขยับระยะเซ็นเซอร์ให้ขึ้นมาชิดตัวจอมากขึ้น ปลดได้ง่ายขึ้น ซึ่งก็จริงตามที่กล่าวไว้ เพราะตัวอ่านลายนิ้วมือเสถียรขึ้นมาก มีเหงื่อเล็กน้อยก็ยังปลดได้ ไม่เหมือนกับ S10 ที่ขนาดมือแห้งก็ยังปลดกันไม่ได้ จน Samsung ต้องออกซอฟต์แวร์แก้ไขแล้วแก้ไขอีกจนปัจจุบันก็เรียกว่าพอทนได้ แต่ก็ไม่น่าพอใจเท่าตอนที่ได้ลอง Note 10
อีกขั้นที่เหนือกว่าของ Cinematic Infinity Display
หน้าจอของ Galaxy Note 10+ เป็นแบบ Dynamic AMOLED พร้อมขอบ Edge สองข้างเหมือนเดิม บนขนาดที่ใหญ่ขึ้นถึง 6.8 นิ้ว (ถ้าเป็น Note 10 ตัวธรรมดา หน้าจอหดลงเหลือ 6.3 นิ้ว) ทั้งหมดนี้ มาในธีมการออกแบบ Cinematic Infinity Display หรือ Infinity-O เหมือนตัวก่อนหน้านี้อย่าง Galaxy S10 แต่ที่แตกต่างจาก S10 คือการย้ายเอากล้องหน้าด้านบนจอ มาอยู่ตรงกลางหน้าจอ และไม่มีขอบดำลากลงมาเป็นติ่งหน้าจอ และเพื่อให้กล้องด้านหน้าดูกินพื้นที่น้อยที่สุด Samsung จัดการลบขอบดำรอบกล้องออกไปด้วย
ผลที่ได้คือหน้าจอของ Note 10+ จึงเป็นหน้าจอที่มีพื้นที่แสดงผลต่อตัวเครื่องที่สูงมากถึง 90.7% จากที่ได้ลองชมละคร / ซีรีส์ / MV (พร้อมเต้น Kill This Love เอ้ย ไม่ใช่ ฮาาา) และดูหนังมาบ้างแล้ว หน้าจอนี้ยังคงให้รายละเอียดแสงสีและความเที่ยงตรงของคอนทราสต์และอุณหภูมิสีเท่ากับ Galaxy S10 อย่างไม่ผิดเพี้ยน
และต้องขอบคุณที่มันยังเป็น Dynamic AMOLED เพราะเวลาใช้ไปนาน ๆ ไม่เกิดอาการล้าสายตาจากแสงสีฟ้าที่เป็นอันตราย และต่อให้เปิด Night Mode หน้าจอก็ไม่อมเหลืองมาก เพราะทุนเดิมของ Dynamic AMOLED คือสามารถตัดแสงสีฟ้าออกไปได้เยอะอยู่แล้ว ฉะนั้นฟีเจอร์เรื่องหน้าจอจึงเรียกได้ว่า แทบจะยก S10 มาทั้งดุ้นเลยก็ว่าได้
ตอนเห็นจากรูปหลุด บอกตรง ๆ ว่าเหมือนไฝตรงกลางหน้าผากของนักแสดงตลกท่านหนึ่ง แต่พออยู่ด้วยกันตรงหน้าจริง ผมกลับเริ่มชอบมากกว่าหน้าจอ Infinity-O Display แบบ Galaxy S10 มากกว่า การลบแค่ขอบสีดำที่ล้อมรอบกล้องถ่ายรูปออก ไม่น่าเชื่อว่าจะเปลี่ยนอารมณ์การใช้งานได้มาก ดูไม่รบกวนตามากเท่าที่คิด อันที่จริงรู้สึกเต็มตามากกว่าของ Galaxy S10 ด้วยซ้ำ ฉะนั้นแล้ว ถ้ามือถือฝั่ง Android ที่ใช้งานออกแบบติ่งแบบหยดน้ำ ลองลบติ่งออก และลบขอบดำรอบกล้องถ่ายรูปออก ก็ไม่เลวเหมือนกันนะครับ
กล้อง Pro Grade Camera ที่ทำได้มากกว่าถ่ายรูปเล่น
และอีกความสามารถของกล้องวีดีโอที่เพิ่มเข้ามาคือ Live Focus Video เราคุ้นเคยกับฟีเจอร์ Live Focus เมื่อครั้ง Note 8 เปิดตัวกันมาแล้ว ที่เราสามารถปรับความชัดลึกชัดตื้นของภาพ Portrait ได้ ครั้งนี้ Samsung ได้ยกเอาฟีเจอร์นี้มาใส่ให้ใช้งานบนการถ่ายวิดีโอด้วย นั่นหมายความว่าเราจะสามารถจัดการกับองค์ประกอบวัตถุภายในซีนได้ดีขึ้น และสามารถเบลอหลังวัตถุได้ตามที่ต้องการ ซึ่งฟีเจอร์นี้ต้องขอบคุณกล้อง DepthVision Camera อีกหนึ่งกล้องพิเศษที่ Samsung ใส่มาให้ใน Note 10+ (เท่านั้นด้วย) กล้องนี้เดิมทีเราคุ้นเคยกันในชื่อ ToF (Time-of-Field) มาก่อนแล้ว เพราะใน P30 Pro มีให้ใช้นั่นเอง คงไม่ต้องอธิบายมากว่า DepthVision หรือ ToF มีไว้ทำอะไรต่อนะครับ ฮา~
ส่วนการถ่ายภาพทั่ว ๆ ไป เรียกว่าไม่ต่างจาก S10+ มากนัก เพราะโมดูลกล้องหลักแทบไม่ต่างจาก S10+ นั่นคือ กล้องสามตัวอันได้แก่ Ultra Wide/Wide และ Telephoto ตามธรรมเนียม มี Scene Optimizer สำหรับปรับฉากหลังอัตโนมัติ และมี Best Shot สำหรับแนะนำช็อตภาพที่ดีที่สุดเวลาถ่ายภาพ ดังนั้นการถ่ายภาพจึงไม่ต่างจาก S10+ เลยแม้แต่น้อย
เจ้าไม้วิเศษ จงเลื่อนเนื้อหาให้ข้าเถิด~
ของเด็ดประจำตระกูลอย่าง S Pen ใน Galaxy Note 10+ รอบนี้ ไม่น่าจะทำมาจากโรงงานทั่ว ๆ ไป แต่น่าจะทำมาจากร้านโอลิแวนเดอร์ เพราะมันรองรับ Gesture แบบโบกเหมือนใช้ไม้กายสิทธิ์ใน Harry Potter ยังไงยังงั้นเลย เนื่องมาจากสิ่งที่ S Pen ถูกปรับปรุงจาก Note 9 คือการเพิ่มเซ็นเซอร์จับความเคลื่อนไหวแบบ 6 แกน ทั้ง Accelerometer และ Gyroscope นั่นจึงทำให้ S Pen ของ Note 10 และ Note 10+ รองรับการสั่งการตัวเครื่องที่มากกว่าการเป็น Clicker แบบธรรมดา ซึ่ง Samsung เรียกฟีเจอร์นี้ว่า Air Action โดยการใช้งานหลัก ๆ มีดังนี้
- กดปุ่มบนรีโมท>โบกขึ้นแนวตั้ง แล้วปล่อยปุ่มบนรีโมทหลังโบก จะเป็นการสลับกล้องหน้าไปกล้องหลัง หรือเลื่อนเนื้อหาขึ้นลง
- กดปุ่มบนรีโมท>โบกแนวนอนจากซ้ายไปขวา หรือขวาไปซ้าย แล้วปล่อยปุ่มบนรีโมทหลังโบก จะเป็นการสลับโหมดของกล้องถ่ายรูป หรือเลื่อนเนื้อหาไปทางซ้าย-ขวา
- กดปุ่มบนรีโมท> หมุนข้อมือตามเข็มนาฬิกาหนึ่งที โดยหลังหมุนข้อมือครบรอบ อย่าพึ่งปล่อยปุ่ม จะเป็นการซูมเข้าของกล้องถ่ายรูป เมื่อได้ระยะซูมที่พอใจแล้ว ค่อยปล่อยปุ่มรีโมท และถ้าทำแบบเดียวกัน แต่เป็นการหมุนทวนเข็มนาฬิกา จะเป็นการซูมออกของกล้องถ่ายรูปเช่นกัน
เอาจริง ๆ เป็นความสามารถที่ชอบมาก ใช้จริงได้ดีน่าสนใจมาก รู้สึกดีกับการช่วยให้ทุกอย่างง่ายขึ้นกับการถ่ายรูป หรือการเลื่อนหาเนื้อหา แต่ต้องใช้ความคุ้นเคยในการใช้งานสักพัก ซึ่งถ้าเข้าใจ เข้ามือ จะถูกใจกับการโบก S-Pen แบบนี้จริง ๆ นอกนั้นแล้ว ปรับแค่ความไวในการตอบสนองให้แม่นยำ ก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว
ต้องบอกว่าเป็นโชคดีของนักพัฒนาด้วยที่ Samsung เปิดฟีเจอร์นี้ให้นำไปพัฒนากันต่อในแอปพลิเคชันของตน ฉะนั้นฟีเจอร์นี้น่าจะเป็นฟีเจอร์ชูโรงของ Galaxy Note 10 และน่าจะมีแอปพลิเคชันออกมารองรับเพิ่มมากขึ้นในอนาคตแน่นอน
ทำงานง่ายกว่า... ด้วย DeX แบบใหม่
อีกฟีเจอร์ที่ไม่เล่าไม่ได้ นั่นคือ Samsung DeX ผมเชื่อว่าเราน่าจะคุ้นเคยกับ Samsung DeX กันมาพอประมาณแล้วล่ะ จากเดิมใน S8 ที่ต้องใช้ Docking และอุปกรณ์แยก สู่การตัดคียบอร์ดและเมาส์ออกใน Note 9 และเหลือเพียง HDMI Dongle ใน S10 ล่าสุดใน Note 10 และ Note 10+ DeX ปรับใหม่อีกครั้ง เหลือเพียงแค่สาย USB เส้นเดียวเท่านั้น ก็สามารถเรียกใช้ Samsung DeX ได้ทันทีเมื่อต่อกับ PC หรือ Mac ที่ติดตั้ง Samsung DeX เอาไว้แล้ว
นอกจาก DeX ปรับปรุงใหม่แล้ว ใน Galaxy Note 10+ ยังมีความสามารถ Link to Windows ซึ่งเป็นฟีเจอร์ใหม่ของ Windows 10 เวอร์ชัน 1903 เมื่อต้นปี ความสามารถของฟีเจอร์นี้คือการจำลองสถานการณ์ Continutity ของ macOS ขึ้นมาอยู่บน Windows 10 โดยใช้สมาร์ทโฟน Android ฉะนั้นเมื่อเรานำ Galaxy Note 10 และ Note 10+ มาต่อเข้ากับ PC และตั้งค่า Link to Windows ให้เรียบร้อย เราก็จะสามารถดูและเรียกใช้รูปภาพล่าสุด 25 รูป, เรียก Notificaiton ของโทรศัพท์ขึ้นไปแสดงผลบน Windows และสามารถรับสายผ่านคอมพิวเตอร์ได้เลยโดยไม่ต้องไปยกหูโทรศัพท์อีกต่อไป
สรุปแบบนั้น ๆ ก็เรียกได้ว่าฟีเจอร์นี้ทำมาเพื่อฆาตกรรมฟีเจอร์ SideSync ลงอย่างชัดเจน เพราะในเมื่อแอปส่วนใหญ่ทำงานแบบ DeX ได้ + ฟีเจอร์ Link to Windows ที่สามารถโยน Notification ขึ้นไปแสดงบน Windows แทนได้ ก็แทบไม่มีความจำเป็นที่ต้องใช้ SideSync ในการทำงานอีกต่อไป
สรุป
สักพักใหญ่ ๆ แล้ว ที่ Samsung ทำ Smartphone สักรุ่นออกมา แล้วต้องมีเครื่องหมายคำถามแบบ งง ๆ ว่า ที่ทำมามันไปทางไหน? อย่างไรกันแน่? แต่กับ Galaxy Note 10 ความหวังเล็ก ๆ ที่จะได้ทุกสิ่งที่เข้าที่เข้าทาง และเป็นทิศทางที่ทำให้ Smartphone ของ Samsung กลับมาแข่งขันได้อีกครั้ง ดูจะเป็นไปได้จริง ๆ
งานออกแบบที่ลงตัวขึ้น ใช้งานได้ดีถนัดมือขึ้น ออกรุ่นเล็กเอาใจคนชอบพก แต่ไม่ตัดจุดใหญ่ ๆ จนไม่น่าซื้อ เน้นความสามารถที่เติมเต็มให้ใช้ได้เข้าที่มากขึ้น บางที มือถือรุ่นใหม่สักเครื่อง สิ่งที่ดีที่สุด คือการได้ใช้สิ่งใหม่ที่ผู้ผลิตใส่มา แล้วทำให้เราได้ใช้ทุกวันจริง ๆ มากกว่าสิ่งที่ใส่ แค่เล่นโชว์เพื่อนได้ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ใช้
บางที วลีที่ตอนต้นปีชาวเน็ตแซวตอนเปิดตัว Galaxy S10 ไว้ว่า “รอ Galaxy Note 10 เลยละกัน” ท่าจะคุ้มค่ากับการรอคอยจริง ๆ
หวังว่าจะได้เขียนตอนเล่นแบบเต็ม ๆ จบให้อ่านนะครับ : )
ขายของเล็กน้อย...
อ่านมาจนถึงตรงนี้ก็ขายตรงกันเล็กน้อยก็แล้วกันนะครับ ~
สำหรับประเทศไทย Samsung จะนำ Galaxy Note 10 เข้ามาขายแค่รุ่น 4G เท่านั้น มาครบทั้ง Note 10 และ Note 10+ โดย
- Note 10 จะมีวางจำหน่ายที่ความจุ 256 GB ในราคา 32,900 บาท และมีราคาพิเศษกับผู้ให้บริการเครือข่ายที่ราคาเริ่มต้น 15,900 บาท โดยมีให้เลือก 3 สี คือ Aura White/Aura Black และ Aura Pink
- Note 10+ จะมีวางจำหน่าย 3 สี คือ Aura Glow/Aura Black และ Aura White และมีรุ่นแยกสองความจุดังนี้
- 256 GB วางจำหน่ายที่ราคา 37,900 บาท และมีราคาพิเศษกับผู้ให้บริการเครือข่ายที่ราคาเริ่มต้น 20,900 บาท
- 512 GB วางจำหน่ายที่ราคา 40,900 บาท และมีราคาพิเศษกับผู้ให้บริการเครือข่ายที่ราคาเริ่มต้น 23,900 บาท
และพิเศษกับช่วงเปิดตัว เมื่อจอง Samsung Galaxy Note 10 ที่ร้านค้าที่ร่วมรายการ รวมถึงกลุ่ม Blind Booking ที่จองเครื่องล่วงหน้าและกำหนดรับเครื่องที่ centralwOrld ในวันที่ 16 สิงหาคมนี้ และลูกค้าที่จองเครื่องเปล่าในราคาปกติที่ผู้ให้บริการเครือข่าย รับของแถมช่วง Pre-Booking ดังนี้
- Note 10 รับฟรีทันที Galaxy Buds มูลค่า 4,990 บาท พร้อมรับประกันหน้าจอแตกฟรี 1 ปี
- Note 10+ รับสิทธิ์อัพเกรดเป็นรุ่น 512 GB ในราคารุ่น 256 GB พร้อมรับประกันหน้าจอแตกฟรี 1 ปี
และพิเศษยิ่งกว่ากับลูกค้า AIS Serenade (Gold/Platinum) / dtac reward member (Gold Member/Blue Member) และ True BlackCard รับฟรีทันทีกับบริการหลังการขายสุดพิเศษ “Galaxy Butler X” เมื่อซื้อเครื่อง Galaxy Note 10 กับผู้ให้บริการและสมัครแพ็คเกจหรือมีเงื่อนไขตามที่แต่ละผู้ให้บริการกำหนด รับบัตรสมาชิก Galaxy Butler X ทันที เพื่อใช้สำหรับบริการหลังการขายสุดพิเศษที่คิดค้นขึ้นเพื่อลูกค้าระดับพรีเมียมเท่านั้น อาทิ บริการรับส่งเครื่องซ่อมถึงที่บ้านหรือที่ทำงาน พร้อมอุปกรณ์สำรองฟรีตลอดระยะเวลาการซ่อม ความคุ้มครองหน้าจอในกรณีหน้าจอแตกและ/หรือได้รับความเสียหายจากรอยขีดข่วน ส่วนลดค่าแรงและค่าอะไหล่สูงสุด 50% สำหรับค่าอะไหล่ที่อยู่นอกเหนือจากเงื่อนไขการรับประกัน ตลอดอายุการรับประกันตัวเครื่องทันที
โปรโมชันดี ๆ แบบนี้มีถึง 23 สิงหาคมนี้เท่านั้นครับ ~