พูดถึงหนึ่งในตลาดคอมพิวเตอร์ที่สุดแสนจะดุ ทรหด และไม่แน่จริงก็อยู่ไม่ได้คงต้องพูดถึงตลาดเกมมิ่งที่ทุกวันนี้แทบจะเรียกว่าเป็นไฟอเวจีแล้วก็เป็นได้ เอาง่าย ๆ เฉพาะในตลาดนี้ยังถูกแบ่งกลุ่มออกเป็นหลาย Segment เพื่อให้ง่ายต่อการทำตลาด ไล่ตั้งแต่ Casual Gamer, Semi-Hardcord Gamer, Hardcore Gamer และสูงสุดอย่าง Professional Gamer ก็ต้องมีสินค้าออกทำตลาดให้ครบทั้งหมด
กลับมาที่หัวเรื่องของเรา พอดีเมื่ออาทิตย์ก่อนเราได้รับสายด่วนจาก Dell Technologies ประเทศไทย ผู้น่ารักเช่นเคย โดยชวนมาเปิด Segment ใหม่ของกลุ่มผลิตภัณฑ์เกมมิ่งเป็นครั้งแรกของไทย ตอนแรกที่ผมได้รับบรีฟงานคร่าว ๆ ก็ถึงกับเกาหัวเล็กน้อย เพราะงานนี้ Dell จับมือร่วมกับร้านสตรีทแวร์อย่าง Carnival เพื่อเปิด Segment ใหม่ร่วมกัน สุดท้ายมันก็บึ๊ม กลายเป็นของที่เราจะได้ลองนิดหน่อยแล้วเอามาเล่าในครั้งนี้กับ “ALIENWARE M15 R2” โน้ตบุ๊คเกมมิ่งพันธุ์ดุจากบ้าน Dell Technologies ที่มาพร้อมกับดีไซน์บางเฉียบเพื่อชาวสตรีทเกมเมอร์โดยเฉพาะ
ก่อนที่จะอ่านต่อ ผมขอแนะนำให้ทุกท่าน “ลบ” ภาพของอดีต Alienware รุ่นเก่า ๆ ที่หนาเตอะออกไปทั้งหมด เพราะที่ผมจะกล่าวต่อไปนี่ คือปรากฎการณ์ใหม่ของ Alienware ที่แทบไม่เชื่อว่า Dell เค้าทำได้จริงๆ
ส่องรอบเครื่องแบบรวดเร็ว

ทำไมผมถึงถือแบบนี้น่ะหรอ … ใช่ครับ เครื่องมันบางมาก!!! และเบามาก!! ชนิดที่ว่า เอ๋~~ “นี่มันใช่ Alienware ที่ผมรู้จักหรือเปล่าหว่า?”

งั้นมาดูกันแบบเร็ว ๆ ผ่าน ๆ ละกันครับ เริ่มกันที่พอร์ตที่ให้มาก่อนจากด้านหลัง สิ่งที่ Alienware M15 R2 ให้มาก็คือ HDMI 1 ช่อง Mini Display Port 1 ช่อง Thunderbolt 3/USB-C 1 ช่อง ช่องต่อ Alienware Graphics Amplifier สำหรับใช้กราฟิกการ์ดแบบแยก 1 ช่อง และช่องต่ออแดปเตอร์จ่ายไฟอีก 1 ช่อง ด้านข้างซ้าย-ขวา เป็นที่อยู่ของช่องระบายความร้อนจากฮีตซิงค์ ทั้งหมดล้อมกรอบด้วยไฟ LED ซึ่งสามารถปรับแต่งได้จาก Alienware Command Center ว่าจะให้แสดงสีอะไร

ด้านซ้ายของเครื่องให้พอร์ต Gigabit Lan 1 ช่อง USB-A 3.0 1 ช่องพร้อมรองรับฟีเจอร์ PowerShare ซึ่งสามารถเสียบสาย USB เพื่อใช้เป็นเพาเวอร์แบงค์ชาร์จมือถือได้แม้ปิดเครื่องสนิทอยู่ และช่องต่อหูฟังแบบ Combo Jack

ด้านขวาให้ USB-A 3.0 อีก 2 ช่องเท่านั้น
เมื่อรวมพอร์ตทั้งหมดจะเห็นได้ว่าสิ่งที่หายไปจาก Alienware M15 R2 ตัวนี้คือ “สล็อต SD Card” ซึ่งถามว่าจำเป็นสำหรับการเล่นเกมมั้ย ก็คงตอบว่าไม่… แต่ถ้าสำหรับคนที่จำเป็นต้องใช้ (เช่นเกมเมอร์ ที่เป็นสายถ่ายภาพด้วย) อาจจะต้องหา Card Reader มาใช้งานเพิ่มเติมด้วยก็ได้ (ซึ่ง Dell มีขายเป็นอุปกรณ์เสริมด้วย)

กลับมาที่ฝา Clamshell ตัวที่เห็นด้านบนนี้ เป็นสีดำ “Dark Side of the Moon” พื้นผิววัสดุของ Clamshell ตัวนี้เป็นแมกนีเซียมอัลลอย มุมขวาล่างเลเซอร์เลข 15 ไว้ เพื่อให้แยกออกว่าเป็นรุ่น M15 ตรงกลางไม่ได้มีโลโก้ Dell แต่มีโลโก้ AlienHead เรืองแสงได้ แถมปรับได้จาก Alienware Command Center เช่นกัน

เมื่อเปิดฝาเครื่องออกมา ก็จะเจอกับ Keyboard, TouchPad และหน้าจอ Anti Glare ขนาดใหญ่ความละเอียด Full HD สว่าง 300 นิต แถมรองรับความกว้างสีแบบ DCI-P3 สูงถึง 100 % อัตราการตอบสนองต่ำถึง 7ms และอัตรารีเฟรชเรตที่สูงถึง 240 Hz (ขึ้นกับรุ่นย่อยที่เลือก)

ระหว่างหน้าจอกับคีย์บอร์ด เป็นที่ซ่อนของกล้อง Tobii Eye Tracker ซึ่งเป็นกล้องที่คอยตรวจจับสายตาของเราเพื่อให้การตอบสนองของเครื่องและเกมตรงตามสายตาของเรามากยิ่งขึ้น

ถัดลงมาเป็นคีย์บอร์ดขนาดใหญ่ พร้อมไฟ LED AlienFX แบบ 4 โซนแยกเป็นรายปุ่ม และเช่นเดียวกับ Alienware ทุกตัวที่ขายในไทย …. ไม่มีคีย์บอร์ดภาษาไทยมาให้เช่นเคย (ซึ่งเหล่าเกมเมอร์คงไม่ได้แคร์เรื่องนี้มากหรอก มั้ง..)

ด้านบนเครื่องเป็นช่องระบายความร้อนอีกหนึ่งจุด มุมขวาบนเป็น AlienHead อีกหนึ่งจุด พร้อมทำหน้าที่เป็นปุ่มเปิด-ปิดเครื่อง และ Battery Notification LED ในตัว สำหรับเตือนว่าแบตเครื่องเหลืออยู่เท่าใด ซึ่งระหว่างทางที่แบตใกล้หมด เราสามารถปรับ AlienHead เป็นสีอะไรก็ได้เหมือนส่วนประกอบอื่น ๆ ที่เป็น LED ของเครื่อง
อ้อ … เจ้า AlienHead ตรงนี้ ไม่ได้เป็น “ตัวอ่านลายนิ้วมือ” เหมือน Dell G Series นะครับ ฉะนั้นในด้าน Biometrics Protection เครื่องนี้ไม่มีเลย ทั้ง Fingerprint Reader และ Face Unlocking ใช้รหัสปลดล็อกล้วน ๆ แต่โชคช่วยตรงที่ Windows 10 รองรับ USB Key Protection นั่นหมายความว่าเราสามารถหา USB Key Protection มาใช้เป็นระบบรักษาความปลอดภัยของเครื่องแทนได้

ใต้ท้องเครื่องเป็นเพียงแผ่นแมกนีเซียมอัลลอยขนาดใหญ่ พร้อมบุช่องสำหรับระบายความร้อนเท่านั้น ส่วนพลาสติกด้านบนเป็นที่อยู่ของ Service Tag และ Express Code สำหรับใช้ติดต่อศูนย์บริการ Dell Premium Service กรณีเครื่องมีปัญหา และต้องการให้ช่างเข้าซ่อม และเช่นเดียวกับ Alienware และ Dell ทุกรุ่น Alienware M15 R2 มาพร้อมกับ Dell Premium Service พร้อมประกันแบบ On-Site Service 24/7 ทุกที่ ทั่วโลก

เห็นทั้งหมดที่ Dell อัดมาแล้ว คิดว่าเจ้า Alienware M15 R2 หนักเท่าไหร่ครับ???
คำตอบคือ … 2.1 กิโลกรัม!! ใช่ครับ 2 โลเอง ^^ ถือแบบนี้ได้สบายเลย น้ำหนักรวมอแดปเตอร์ ก็ราว ๆ 3 กิโลกรัมเท่านั้น ถือว่าสมเหตุสมผลกับโน้ตบุ๊คเกมมิ่งทั่ว ๆ ไป เพียงแต่ขึ้นชื่อว่าเป็น Alienware นี่จึงเป็นเรื่องที่แปลกมากที่ Dell กล้าทำ Alienware ที่บาง เบา และเหมาะสมสำหรับการพกพาได้แบบนี้ เพราะรุ่นรองอย่าง Dell G7 ก็น้ำหนักเท่า Alienware M15 R2 ทั้งตัวเครื่อง และน้ำหนักรวมอแดปเตอร์แบบไม่ผิดเพี้ยน
ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ละ… คำตอบก็คือ “เทรนด์ Thin & Light กำลังมา” และเป็นตีมหลักในการออกแบบผลิตภัณฑ์ของ Dell ในปีนี้ด้วย เพราะผลิตภัณฑ์ทุกตัวของ Dell ทั้งกลุ่ม Consumer ไปจนถึงกลุ่ม Workstation ไล่ตั้งแต่ Inspiron, Inspiron G, XPS, Vostro, Latitude รวมถึง Alienware ก็เน้นการออกแบบผลิตภัณฑ์ให้มีความบางและเบา สามารถพกพาไปไหนมาไหนได้สะดวกมากขึ้น สอดคล้องกับความนิยมในการทำงานแบบทำที่ไหนก็ได้ ไม่จำกัดว่าจะต้องเป็นบ้าน หรือที่ทำงาน และเช่นกันความนิยมในการการเล่นเกมนอกสถานที่แบบว่าอยู่ไหนก็เล่นได้ก็เริ่มมีมาให้มากขึ้นเช่นกัน ฉะนั้นจึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไม Inspiron G กับ Alienware ถึงได้บางและเบาขนาดนี้
แล้วมีฟีเจอร์อะไรเด็ด ๆ บ้างละ?

เนื่องจากว่าเจ้า Alienware M15 R2 ที่เราได้ลอง เป็นเครื่องสำหรับโชว์หน้าร้าน เลยไม่สามารถทำอะไรกับตัวเครื่องได้มากนัก งานนี้ Dell Thailand เลยพาคุณลีโอนาร์ด คี Alienware Product Manager – Southeast Asia จากบริษัทใหญ่ บินตรงมาเพื่อแนะนำสินค้าเป็นการพิเศษโดยเฉพาะ

อย่างแรกที่คุณคีพูดถึงเลยคือ ตัวเครื่องที่มีความบางและเบากว่า Alienware M รุ่นก่อนอย่างเห็นได้ชัด (ตัวที่เอามาวางเทียบคือ Alienware 17 ขนาดหน้าจอ 17 นิ้ว ซึ่ง…ใหญ่มาก…) ขนาดโดยรวมของ Alienware M15 R2 เมื่อพับหน้าจอลง ยังหนาไม่ถึงครึ่งของ Alienware 17 เลย ฉะนั้นถือได้ว่า Alienware M15 R2 เป็นเกมมิ่งโน้ตบุ๊คที่มีขนาดเบาและบางที่สุดในตลาดตอนนี้แล้ว

อีกเรื่องคือระบบระบายความร้อน Alienware Cyro-Tech 3.0 ที่ทำออกมาได้ดีกว่า 1x และ M1x เก่า โดยมีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิม ระยะห่างใบพัดกว้างมากขึ้น จำนวนใบพัดเพิ่มมากขึ้น สามารถรับลมเข้าและระบายออกได้มากขึ้นถึง 10% ช่วยให้ตัวเครื่องสามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพมากขึ้นกว่ารุ่นก่อนหน้าอย่างเห็นได้ชัด
อีกสิ่งที่ Dell ปรับปรุ่งจากรุ่นก่อนหน้านี้ คือเส้นทางลมร้อนที่ปรับขึ้นจากรุ่นก่อนหน้าอย่างชัดเจน โดยการรับลมเข้าจะรับจากด้านล่างและด้านบนตัวเครื่อง แล้วระบายออกทางด้านหลังและด้านข้างเครื่องอย่างรวดเร็ว โดยไม่ให้ลมร้อนออกมาปะทะกับหน้าจอหรือชิ้นส่วน Clamshell แม้แต่ชิ้นเดียว เพื่อยืดอายุการใช้งานของจอให้ใช้งานได้นานขึ้นนั่นเอง

ฟีเจอร์นอกเหนือจากนั้นก็จะเป็นเรื่องของการปรับแต่งการทำงานของฮาร์ดแวร์ หรือที่เราเรียกกันว่า Overclocking โดย Alienware M15 R2 มาพร้อมกับซอฟต์แวร์ชุด Alienware Command Center แบบเดียวกับ Alienware ทุกรุ่น โดยในตัวของ ACC ยังมีฟีเจอร์ที่เรียกว่า AlienFusion และ Alienware Dynamic Overclocking ที่เราสามารถปรับแต่งการทำงานของเครื่องได้อย่างอิสระ ตั้งแต่การใช้กำลังไฟ ความเร็ว CPU ความเร็ว GPU รวมถึงความเร็วพัดลมที่ทั้งหมด เราสามารถปรับแต่งได้อย่างอิสระโดยไม่ส่งผลต่อการใช้งานของตัวเครื่อง เพราะที่ตัวบอร์ดของ Alienware M15 R2 มีระบบจัดการไฟแบบปรับได้ ที่ CPU 6 เฟส และที่ GPU 8 เฟส ฉะนั้นในช่วงเวลาที่เราต้องการรีดประสิทธิภาพของเครื่องออกมาให้ได้มากที่สุด เราก็สามารถทำได้เพียงแค่ไม่กี่คลิกเท่านั้น

ฉะนั้นแล้วจุดขายหลักของ Alienware M15 R2 ที่เป็นเรื่องดีไซน์เครื่อง และฟีเจอร์ที่มากับ ACC จึงถือได้ชัดเจนว่า Alienware M15 R2 นี่แหละ คือโน้ตบุ๊คเกมมิ่งพันธุ์ดุตัวจริงที่ฮาร์ดคอร์เกมเมอร์ควรมีไว้ในครอบครอง ^^
ของดีแบบนี้... ขายคนเดียวไม่ได้~

ของดีแบบนี้ ขายคนเดียวไม่ได้แน่นอน… เพื่อให้ได้กลุ่มลูกค้าที่กว้างมากขึ้น Dell ประเทศไทย จึงร่วมมือกับ Carnival ร้านสตรีทแวร์ชื่อดังของไทย เพื่อจัดชุด Collaboration วางจำหน่ายร่วมกันในชื่อ Alienware R15 M2 “CARNIVAL Limited Edition”

โดยเจ้าชุด Alienware M15 R2 “CARNIVAL Edition” มาพร้อมกับตัวเครื่อง Alienware M15 R2 เวอร์ชันพิเศษที่สกรีนคำว่า “Carnival” บนฝา Clamshell ของเครื่อง พร้อมชุดพร็อพชุดใหญ่ที่ Carnival จัดหนักจัดเต็มแบบไม่แคร์สื่อ ประกอบด้วย
- Alienware x x CARNIVAL™ Vindicator 2.0 15” Backpack
- Alienware x CARNIVAL™ Elite Gaming Mouse AW959 อิดิชั่นพิเศษที่มาพร้อมกับลายสกรีน CARNIVAL™
- เสื้อผ้า Alienware x CARNIVAL™ T-Shirt
- หมวก Alienware x CARNIVAL™ Cap

ตัวเครื่อง Alienware M15 R2 Carnival Edition จะวางจำหน่ายทั้งหมด 3 สเปค ดังนี้
- i7-9750H 6-core 4.5 GHz / Ram 8 GB DDR 4 / 256 GB / RTX 2060 Max-Q 6 GB GDDR6 / FHD 144 Hz 9ms 72% DCI-P3 / สี Dark Side of the Moon วางจำหน่ายในราคา 79,990 บาท
- I7-9750H 6-core 4.5 GHz / Ram 16 GB DDR 4 / 512 GB / RTX 2070 Max-Q 8 GB GDDR6 / FHD 240 Hz 7ms 100% DCI-P3 / สี Lunar White วางจำหน่ายในราคา 89,990 บาท
- i9-9980HK 8-core 5.0 GHz / Ram 16 GB DDR 4 / 512 GB / RTX 2080 Max-Q 8 GB GDDR 6 / FHD 240 Hz 7ms 100% DCI-P3 / สี Lunar White วางจำหน่ายในราคา 119,990 บาท
- ทุกรุ่นมาพร้อม Windows 10 Home 64 Bit , McAfee Security Center 12 เดือน , Dell Premium Service แบบ Worldwide On-site Service 2 ปี
ส่งท้าย...

ถือได้ว่า Alienware M15 R2 เป็นอีกหนึ่งผลสำเร็จที่ทำให้เราได้เห็นแนวทาง Thin & Light ของ Dell แบบชัดเจนมากขึ้น แถมการร่วมมือกับ Carnival ก็ยังเป็นการเปิดตลาดใหม่ให้กับการขายคอมพิวเตอร์เฉพาะทางแบบเกมมิ่งโน้ตบุ๊คแบบนี้ และเชื่อได้ว่าถ้าชุด Collaboration นี้สำเร็จ เราน่าจะได้เห็น Dell กับ Carnival ร่วมกันทำอะไรใหม่ ๆ กันมากขึ้นในอนาคต
โดยเฉพาะนี่ถือเป็นหนึ่งในการรีเฟรชแบรนด์ Alienware ครั้งใหญ่ในรอบ 20 ปี ที่จะเปลี่ยนภาพลักษณ์จากของใช้เอเลี่ยนมาเป็นคอมพิวเตอร์ประสิทธิภาพสูงเพื่อการเล่นเกม การออก M15 R2 เมื่อต้นปี จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของการรีแบรนด์ในครั้งนี้
และยิ่งตลาด Gaming ในแถบ Southeast Asia โตแบบไม่หยุดยั้งแบบนี้ การสร้างชื่อแบรนด์ให้ติดตลาดก็ไม่น่าจะใช่เรื่องแปลกของผู้ผลิตอย่าง Dell เขานะครับ : P